[2] :: LAOS – VIETNAM :: แปดวันกับการออกเดินทางสองเมืองสองประเทศ หลวงพระบาง ฮานอย (ฉบับรถทัวร์!)

SLEEPING BUS TO HANOI
—————————————————————
เรามาเตรียมตัวรอกันตั้งแต่สี่โมงค่ะ ทั้งที่ๆรถออกหกโมงเย็น
คิดว่าจะน่าเบื่อ แต่ดันโชคดีที่ได้เจอพี่คนไทยสองคนที่เราพยายามไปดึงมาร่วมขบวนการต่อต้านการโกงจำได้มั้ยคะ 555555555

เราว่าอีกหนึ่งเสน่ห์ของการเดินทางเลยคือ การเจอคนใหม่ๆได้รู้จักคนที่ชอบเดินทางเหมือนกัน
พอคุยกันแล้วเวลามันจะผ่านไปเร็วมากๆ พี่กระดิ่งกับพี่แพนมาทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับเรื่องเรียนค่ะ มาอยู่ได้สิบกว่าวันแล้ว วันนี้กำลังจะกลับ ได้ฟังเรื่องราวการเดินทางของพี่ๆเค้ากัน แรงบันดาลใจมันมา ฮึกเหิมมากๆค่ะ
ทริปนี้ยังไม่จบ หัวสมองก็เริ่มแพลนไปทริปต่อไปแล้ว

โอเคค่ะ มาถึงเรื่องรถนอนไปฮานอยกัน เราอ่านจากบล็อคของฝรั่ง เขาตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเป็น ‘Bus from hell’
เห้ยยย มันไม่อาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นม้างงง (นี่คือสิ่งที่ปลอบใจตอนแรก) สภาพรถจะเป็นสองชั้นค่ะ มีเบาะนอนแบบเดี่ยว แบบคู่ หลังสุดก็จะเป็นแบบนอนเรียงห้า ตรงกลางจะเป็นเบาะแบนว่างๆ เราได้เบาะคู่ชั้นบนค่ะ ติดกับเบาะแบนๆชั้นบนพอดี (…งงกันมั้ย มันจะเป็นเบาะแบนๆแบบไม่มีที่ปรับ เว้นที่ว่างมีบันไดให้ปีนขึ้น คลานไปเบาะเรียงห้าแถวหลังสุด) แต่ไว้อาลัยให้กับพวกเราด้วยค่ะ เบาะแบนนั้นไม่ว่าง มีพี่ๆชาวเวียดนามมานั่งกันสามสี่คน เดี๋ยวจะเล่าถึงรอแปปปป

จากที่บอกว่ารถจะออกหกโมงเย็น สรุปออกจริงๆเกือบหนึ่งทุ่มค่ะ เพราะว่าจำนวนคนเกินไปจากที่ขายบัตร
โหย สถานการณ์ตึงเครียด พี่คนคุมรถหน้าโหดๆก็มาเล้ยย ไล่เก็บบัตรทีละคนด่าโน่นด่านี่ สุดท้ายเรื่องจบลง เพราะมันนับคนผิดค่ะ หื้มมมมมมมมมมมม – –

ช่วงแรกสถานการณ์ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ คงเป็นเพราะมันเป็นช่วงดึกด้วยเลยง่ายแก่การนอนหลับยาว จนกระทั่ง….
ซักประมาณตีสี่ เรารู้สึกหนึกที่ตัว เลยลืมตาดูค่ะ ก็พบว่ามีขาคู่นึงพาดตัวอยู่
ใช่แล้วค่ะ มันไม่ได้มาแค่ข้างเดียว มันมาทั้งสองข้างเลย แบบว่าพาดตั้งแต่พุงลงไปเป็นแนวเฉียง นี่งงมากกกกกกกกกกกกกกกกกก

คือต้องยังต่อ ไม่ใช่ไรนี่เป็นผู้หญิง มันเป็นผู้ชาย นี่เมิงคิดอะไร ยังไงถึงพาดกันมาได้ลงคอ เกรงใจกูหน่อยมั้ย
อย่างน้อยแค่เบียดๆมาก็ได้ นี่พาดมาสองข้าง อะไรเมิงเนี่ยยยยยยย (คิดในใจค่ะ สุดท้ายนอนนิ่งๆด้วยจิตคิดฟุ้งซ่านต่างๆนาๆว่ามันคิดไรปะวะไปยันตีห้า)

ตอนหลังๆเริ่มไม่ไหวแล้ว จุดพีคสุด คือเรารู้สึกว่ามีอะไรมาโดนที่เอวสองสามที ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยยยยย ผลักขามันออกแบบแรงๆ แล้วลุกนั่งร้องไห้เงียบๆคนเดียวมันซะเลย ลุกนั่งปุ๊ปสภาพที่เห็น คือเบาะด้านล่างที่ว่างๆตอนนั้น เต็มไปด้วยคนนอนเบียดกันค่ะ  แบบหัวชนขา ขาชนหัว ตอนนั้นแบบหลอนมากจิตตก ฟีลมันเหมือนรถคนงานต่างด้าวเลยค่ะ แบบที่อัดๆกัน

จนในที่สุดมันรู้ตัว  พี่แกคือคนคุมรถโหดๆคนนั้นเองค่ะ สิ่งที่เขาทำคือลุกขึ้นมาพับผ้าของเขาแล้วก็ยื่นให้เรา
โหยยย รู้สึกกลายเป็นคนเลวทันที คือมันไม่มีที่นอนแล้วค่ะ พี่แกเลยต้องมานอนเบียดๆตรงนี้เอา T3T

นั่งมึนไปจนประมาณ 6 โมงเช้าค่ะ รถก็จอดให้เราลงไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายค่ะ รอด่านลาวเปิดให้ออกค่ะ
อากาศหนาวมากกกกกกก ควันออกปาก

ออกด่านลาว เข้าด่านเวียดนามตามพิธี (ไม่เสียเงินซักบาทค่ะ แต่ด่านเวียดนามต้องขนกระเป๋าไปตรวจด้วย)
ลืมบอกค่ะผู้โดยสารบนรถส่วนมากเป็นคนเวียดนาม มีคนลาวนิดหน่อย และนักท่องเที่ยวประมาณไม่ถึงสิบคนค่ะ
รวมพวกเราสองคนแล้ว ส่วนใครเงินกีบเหลือเอามาแลกเป็นเงินเวียดนามได้เลยตรงด่าน

หลังจากนั้นรถก็ขับต่อไปเรื่อยๆ เข้าเขตเวียดนามแล้วนะ คนก็มีทั้งทยอยลงและขึ้นตามทาง
สภาพภายในรถเริ่มกลับมาปกติไม่วุ่นวายอีกครั้งค่ะ ด้วยความที่มันเช้าพวกเราก็อยากจะนั่งดูวิวบ้าง ไม่ง่วงแล้วว้อย
แต่ก็นั่นแหละค่ะ ที่ปรับเบาะพังไม่สามารถปรับให้หลังตรงได้ สภาพเราจึงกลายเป็นนอนเรียบไปตลอดทาง (รถนอนจริงๆ)

พี่คนนี้แหละค่ะ ที่เอาขาดพาเรา (ฟ้องหน่อยๆ)

ยังไม่จบแค่นั้นค่ะ จำที่บอกว่ามีพี่ๆชาวเวียดนามนั่งข้างๆตรงเบาะแบนนั้นได้มั้ย ก่อนรถออกเราก็มีทักทายกันเล็กน้อยค่ะ เห็นพี่แกใส่หูฟังฟังเพลงอย่างงั้น แต่ตะโกนร้องเพลงเสียงดังมาก (แบบรถเงียบๆอยู่ดีๆแกก็ชอบโพล่งท่อนฮุกขึ้นมา…)

แล้วคือเวลาเรานอนแต่พี่แกนั่งเนี้ย หน้าเราสองคนจะใกล้กันมาก ถ้ารถเบรคนี่มีฉากเลิฟซีนเกิดขึ้นแน่นอน
แต่ถ้าพี่แกนอน นิ้วโป้งเท้าพี่แกก็จะมาสะกิดเอวเราตามจังหวะโยกของรถ (คาดว่าที่คิดว่ามีอะไรมาสะกิดตอนกลางคืน น่าจะเป็นนิ้วพี่แกนี่แหละ)

ตอนกลางคืนก็มีบ้างค่ะ ที่เรานอนๆอยู่แล้วหันไปกำเท้าพี่แก ไอ้เราตอนแรกก็งงว่าทำไมเบาะอุ่นจัง
จับไปสามสี่รอบก็เพิ่งคิดออก เอาหน่าพี่ถือว่าหยวนๆกันไป 55555

ถึงจะเพิ่งบ่นไป แต่จริงๆข้อดีของรถนอนฮานอยมันก็มีนะค่ะ
นอกจากจะได้ไปคลุกคลีกับโมเมนต์ฮาๆของคนเวียดนามแล้ว สิ่งที่เราว่าเป็นไฮไลท์เลยก็คือวิวข้างทางค่ะ
สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เอารูปไปดูเลย

รถแวะจอดให้กินข้าวที่ร้านอาหารรอบนึงค่ะ แต่พวกเราไม่มีทั้งเงินกีบและเงินดอง (ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าใช้เงินไทยได้มั้ย)
บนรถก็ไม่มีของกินแจก สภาพคืออดอยากปากแห้งกันหนึ่งวันเต็ม บนรถก็นอนเพ้อถึงกับข้าวที่แม่ทำมากๆ

รถจากตอนแรกที่บอกว่าใช้เวลาแค่ 24 ชั่วโมง กลายเป็นว่าสรุปแล้วล่อไปเกือบ 27 ชั่วโมงค่ะ
ทำให้เราไปถึงเวียดนามสามทุ่มกว่า ผิดแผนมากๆจากที่คิดว่าจะถึงหกโมงเย็น
ลงจากรถมาก็เอาเลยค่ะ แก๊งค์ลุงๆป้าๆน้าๆอาๆ คนขับแท็กซี่ก็มารุมเล้ยยย เนื้อหอมมากค่ะพวกเรา ถึงแม้จะไม่ได้อาบน้ำก็ตาม

เล่าไปเหมือนจะฮา แต่สถานการณ์ตอนนั้นจิตตกกันมาก กลัวโดนโกง ก็เลยบอกโนๆๆๆอย่างเดียว มันก็แบบพูดโนตาม เหมือนล้อเลียนสำเนียง
หงุดหงิดมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็นะถึงมันจะโกง ก็ไม่มีเงินเวียดนามจ่ายอยู่ดีค่ะ 5555555555555
สิ่งที่ทำตอนนั้นคือ รีบเดินออกมาให้ห่าง และก็หาตู้เอทีเอ็มกันก่อน ตรงนั้นมีสถานีอยู่ข้างๆอีกสถานีค่ะ พวกเราก็เลยเดินไปที่นั่นกันก่อน

โอเค มีตู้เอทีเอ็มอย่างที่เราคิด แต่ว่ากดไม่ได้ค่ะบัตรเป็นไรไม่รู้ เปิดดูแผนที่ก็พบว่าสถานีนี้อยู่ห่างจากในเมือง 7 กม.
ตื้อกันไปหมด ไม่รู้จะทำยังไงต่อเลย แต่ว่าโชคยังเข้าข้างเรา หันไปเจอวัยรุ่นผู้หญิงเวียดนามที่นั่งรถมาด้วยกัน
เราเลยเดินเข้าไปถามหาที่กดเงินที่ใกล้ที่สุด แล้วก็ถามๆถึงเรื่องเข้าเมือง

และก็โชคคคดีมากกกๆอีกแล้ว จุดที่เรายืนอยู่คือที่จอดรถเมล์พอดีค่ะ เขาก็เลยบอกว่าไปรถเมล์ดีกว่า บวกกับใจดีออกค่ารถเมล์ให้อีก และก็ยังคุยกับคนขับให้ด้วยว่าถ้าถึงย่าน Old quarter แล้ว บอกให้พวกเราลงด้วย โล่งใจมากจุดนั้นมีน้ำตาคลอเบ้าเลย

ที่พักคืนแรก อยู่แถวโซนโบสถ์ St. Joseph รถจอดให้ฝั่งตรงข้ามทะเลสาป
เดินแบกกะเป๋ากันไปอีกซักไม่ถึงกิโล ก็ถึงแล้วค่ะ ที่พักชื่อว่า Home Backpackers Hostel
คืนละ 180 บาท มีอาหารเช้านอนรวม แต่แบบว่าไม่โอเคเลย คนละเรื่องกับในรูป ราคานี้โฮสเทลที่อื่นดีกว่านี้เยอะมากกกกๆ
(ณ จุดนี้เราหาตู้ที่กดเงินได้แล้วนะคะ ฟู่ว)

หลังจากเอาของเก็บ ก็ออกมาหาอะไรกินกันหลังอดอยากมา 27 ชั่วโมงเต็ม
กะว่าจะกินแบบพายุบุแคม ก็รวยแล้วอะเนอะ กดเงินมาแล้วเป็นฟ่อน รวยแล้วกินอัลไลก็ด้ายยยย 55555
แต่เสียใจด้วยกับตัวเอง ร้านค้าเริ่มทยอยปิดแล้วค่ะ มื้อแรกที่เวียดนามของพวกเรา เลยกลายเป็นบะหมี่คลุกซอสในมินิมาร์ทแทน แต่ก็ไม่เลวแหะ อร่อยด้วยถูกด้วย : )

DAY 6
HANOI

————————————————–
เราอ่านข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว และอาหารการกินที่เวียดนามมาน้อยมากค่ะ ส่วนใหญ่ที่อ่านจะหนักไปทางประสบการณ์การโดนโกงของคนอื่นซะมากกว่า พวกเราเลยตั้งการ์ดกับเวียดนามไว้สูงมากก เพราะชื่อเสียงเรื่องการโกงเนี้ยแหละทำให้เราไม่กล้าลุยเดี่ยวกันสองคน เลยต้องให้เพื่อนอีกสามคนบินตามมาสมทบในเช้าวันนี้

แต่ก็ไม่วายค่ะ ตื่นเช้ามาพร้อมกับข้อความจากเพื่อนที่พิมพ์มาว่า ‘ตกเครื่อง’…..

จากที่คิดไว้ว่าจะไปลั้นล้าเดินเล่นในฮานอย กินอาหารข้างทาง ซื้อของฝากแวะนู่นออกนี่แบบฟูลทีม ใครหน้าไหนจะโกงก็เข้ามานี่ไม่กลัวหรอกมีเพื่อนมาด้วยว้อยยยยยยยยย ฝันสำหรับวันนี้สลายไปในพริบตา (แต่สุดท้ายแล้วเพื่อนก็ซื้อตั๋วใหม่และจะบินตามมาถึงในตอนเย็นนะคะ)

โอเคไม่เป็นไร ใจคอจะให้กลัวจนขนาดหมกตัวอยู่แต่ในโฮสเทลนั่นก็เว่อร์ไป และแถมอีกอย่างพอมาถึงจริงๆเวียดนามก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ กินอาหารเช้าเสร็จ เราเลยเตรียมขนของไปยังที่พักใหม่ที่จองไว้แล้วอีกที่ ระหว่างยืนรอเช็คเอาท์ ก็มีคนถามว่า ‘มาจากไหน?’ เราก็รีบหันไปตอบเลยว่า ‘from Thailand’
แต่เดี๋ยว อ้าวเห้ย.. ภาษาไทยนี่หว่า

สรุปเป็นคนไทยค่ะ(เย้) พี่จ๊อบแกมาคนเดียว และกำลังมาขอพนักงานดูห้องพักอยู่ค่ะ
แต่ด้วยความที่สภาพห้องมันแย่มาก เราเลยพยามยามกระซิบกระซาบว่าอย่าเลยพี่ อย่าๆๆๆ (เดี๋ยวกระซิบทำไม ใครฟังออก?…)
แล้วก็เลยชวนพี่เขาไปดูที่พักที่เรากำลังจะไปกัน พี่จ๊อบก็ตกลงค่ะ นี่ก็เลยโชว์เซียนโดยการควักแผนที่จากโทรศัพท์ขึ้นมานำทางเล้ย
นั่นแหละค่ะ ตามเคย เดินวนไปวนมาแถวที่เดิมอีกแล้ว พี่จ๊อบก็พยายามจะช่วย แต่นี่ก็ปากดีบอกไม่เป็นไรๆ

สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้กับสกิลการดูแผนที่กระดาษของพี่จ๊อบ จริงๆเราไม่ผิดนะ ผิดที่ชื่อถนนตังหาก
แบบ Hang Dong , Hang Duong , Hang Dung เห็นมั้ยยยย คนเรามันก็ต้องมีสับสนกันบ้างงงงงงงง

Hanoi Rocks Hostel อยู่แถวโซนด้านบนของทะเลสาปฮวานเกี๊ยม ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเก่าเราประมาณหนึ่งกิโลค่ะ
โฮสเทลนี้ดีมากกกกกๆ ใครมาฮานอยเราแนะนำเลย ดีตั้งแต่พนักงาน จนไปถึงห้องพักบริการต่างๆ ข้างล่างเป็นบาร์ ข้างในเป็นผับ

ฝรั่งงานดีเยอะมากกกกกกก เรานอนห้องรวมค่ะ 8$ อาหารเช้าฟรี เบียร์ฟรี แผนที่ฟรี

หลังจากเราเก็บของกันเรียบร้อย ก็ออกไปเดินเล่นในตัวเมืองกันสามคนค่ะ แต่จะไปเดินเปื่อยอย่างเดียวมันก็ดูไร้จุดหมายเกินไป เราเลยเลือกที่จะเดินไป Fine Art Museum จากคำแนะนำของพี่กระดิ่ง และเพื่อนร่วมห้องชาวเดนมาร์คที่เจอกันในโฮสเทลคืนแรก
แต่ก่อนจะไปก็ต้องตุนเสบียงในท้องกันก่อนค่ะ

BUN CHA เมนูเวียดนามแรกที่เราลอง ไม่ใช่เพราะเสริชมาก่อน หรือเคยกินมา แต่เป็นเพราะว่า
ตอนนั้นไม่ไหวแล้ว หิวระดับสิบ เจอข้างทางแวะเลยค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร เมนูก็ไม่มีรูป สั่งไปก่อนแล้วกัน
ร้านนี้อยู่ข้างทางค่ะ ทั้งร้านมีเมนูเดียว ลักษณะจะเป็นสามชั้นย่างแบบเกรียมๆใส่ลงไปซุปหวานๆ
กินกับขนมจีน และผักค่ะ อร่อยยยยยมากกกกกกกกกกกกกก
ราคาอยู่ที่ 30,000 ดอง เป็นเงินไทยก็ 60 บาทค่ะ (ค่าเงินเราคิดง่ายๆอีกแล้วโดยการ ตัดศูนย์ออกสามตัว แล้วคูณสอง)

หลังจากนั้นก็เดินๆๆกันต่อค่ะ ฮานอยตอนนี้แตกต่างจากเมื่อคืนมากๆ เสียงบีบแตรดังระงม
จากตอนแรกกะว่าจะค่อยๆเดินชิวๆ หยุดถ่ายรูปบ้างอะไรบ้าง  ตัดภาพกลับมาที่หยุดถ่ายรูปก็โดนบีบแตร ยืนบนถนนโดนขายของ

ข้ามถนนมอไซต์ก็จะชน วุ่นวายมากกกกกกกก แต่ก็ชอบมากๆเหมือนกันค่ะ

ระหว่างทางมีผ่านสวนสาธารณะด้วยค่ะ คนเวียดนามก็จะแวะมานั่งจิบชา กินข้าวโพดปิ้ง ล้อมวงเล่นหมากรุกกัน แต่ที่เห็นเยอะมากๆนั่นก็คือ พาหมามาเดินเล่นค่ะ ที่นี้จะมีรูปปั้นเลนิน บุรุษเหล็กแห่งโลกคอมมิวนิสต์อยู่ด้วย ตั้งตระหง่านอยู่ริมอีกฟากของสวน เดินย้อนแวะไปถ่าย แล้วค่อยเดินต่อไปยังมิวเซียมได้ค่ะ

เดินต่อมาอีกนิดเดียว ก็ถึงพิพิธภณฑ์แล้วค่ะ เสียค่าเข้า 20,000 ดอง
ภายในจะมีทั้งหมดสามชั้น แสดงศิลปะแตกต่างกันไป ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ข้าวของเเครื่องใช้สมัยต่างๆ
จริงๆแล้วพวกเรา ก็ไม่ได้อินกับศิลปะกันเท่าไหร่ แต่เดินดูไปเรื่อยๆก็เพลินจนปาเข้าไปเกือบสองชั่วโมง

หลังจากนั้นเราก็เดินกลับกันค่ะ บางช่วงของฮานอยก็เหมือนสำเพ็ง ไม่ก็พาหุรัดบ้านเราเลย
อารมณ์เหมือนถ้าหลุดไปที่โซนขายหลอดไฟ แถบนั้นก็จะขายหลอดไฟเหมือนกันหมด ทั้งขาเดินไปและเดินกลับเนี้ย
เราค้นพบแล้วว่า ที่เขาบีบแตรเนี้ยนอกจากจะเป็นสัญญาณบอกให้หลบแล้ว เหมือนเขาจะแค่โชว์ว่ามีแตรเลยค่ะ

เพราะบางคนเนี้ย มันบีบลากยาวมาตั้งแต่หัวมุมซอยเลยค่ะ หันไปดูก็ไม่มีรถ หรือคนขวางมันนะ
แล้วคือบีบทำไมมมม๊ งงมากกกกกกกกกกก

เราไปนั่งแวะพักตรงทะเลสาปฮวานเกี๊ยมกันอีกประมาณ 30 นาที ตรงนี้ส่วนใหญ่คนเวียดนามก็จะมาออกกำลังกายกัน
เจอป้าๆแกงค์นึงน่ารักมากค่ะ กำลังต่อแถวนวดกันอยู่ ริมทะเลสาปก็จะมีร้านขายอาหารอยู่บ้างนิดหน่อย

พวกเราไปปิ๊งเข้าให้กับร้านขายไอติม คนเวียดนามต่อแถวซื้อเยอะมาก ไม่รีรอค่ะ ขอลองบ้าง
อร่อยขนาดนั้นเลย เห็นเขาสั่งอะไรก็สั่งตามค่ะ ส่วนมากคนจะสั่งสีเขียวกับเหลือง เราก็คิดและ ว่าต้องเป็นเมลอน กับกล้วยแน่ๆ
พอกินเท่านั้นแหละ สีเขียวรสชาติเหมือนยาหม่อง ยิ่งกินยิ่งยาหม่องค่ะ ส่วนสีเหลืองเป็นถั่วค่ะ
โนโนโนนน ไม่ใช่อัลมอนด์หรือแมคคาเดเมีย แต่เป็นถั่วเหลืองค่ะ รสชาติแปลกดีแต่ไม่ไหวค่ะครึ่งแท่งเท่านั้นพอ

หลังจากนั้นก็กลับโฮสเทล มารอเพื่อนค่ะ ที่โฮสเทลมีแจกเบียร์ฟรีช่วงหัวค่ำด้วย
บรรยากาศครึกครื้นกันมาก พอเพื่อนมาเราก็ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน
อาหารที่เวียดนามราคาไม่แพงเลยค่ะ แถมอร่อยมากกกก ตามที่เป็นร้านอาหารที่ไม่ใช่นั่งข้างทา
ก็จะมีขายเป็นชุดเซ็ตอาหาร 5$ บ้าง 8$ บ้าง คลำๆเมนูสั่งไป พอมาเสริร์ฟนี่ ยอมใจ น่ากินมากค่ะ
( Set 5$ : ข้าว ซุป ผัดเปรี้ยวหวาน ปอเปี๊ยะ โยเกิร์ต เฝอ )

โฮสเทลเราอยู่ใกล้ซอยที่เป็นแหล่งกินเหล้ากินเบียร์ค่ะ อยากให้ทุกคนคิดตาม
คือบรรยากาศเหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา แต่เป็นเวอร์ชั่นนั่งค่ะ ทุกร้านต่อให้เพลงมันแค่ไหน
แต่ทุกคนก็จะนั่งกันเตี้ยๆอยู่ที่ โต๊ะเก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆ ร้านไหนคนเยอะหน่อย ก็นู่นนนนนต่อโต๊ะเลยไปกลางสี่แยก

ถ้าเป็นซอย ก็จะนั่งกันเต็มซอยเลยค่ะ บางช่วงก็เจอแจ็คพ็อตคนกวาดขยะเข็นรถเก็บขยะมาค่ะ
ไม่ก็มีมอไซต์โผล่ขี่มาดื้อๆ ฝูงชนก็แตกพรือ ลุกเขยิบพร้อมเก้าอี้ ชุลมุนนิดๆ

เขยิบออกมาโซนนอกๆ ก็จะเจอกับเบียร์สดแก้วละ 5,000 ดองค่ะ ถูกมากกกกก ตกประมาณ 7 บาทไทย
กินแทนน้ำเปล่ากันเลยแล้วกัน ฝรั่งบางคนนี่แก้วเบียร์เปล่าต่อสูงยันหัว ข้างทางก็จะมีอาหารหลายอย่างเลยค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นป้าๆลุงขายข้าวโพดปิ้ง บางร้านก็เป็นอาหารทะเลลวก ร้านไม่ได้ใหญ่โตอะไรค่ะ
เป็นแผงชาวบ้านตั้งเล็กๆ น่าโดนทุกร้าน

DAY 7
HALONG BAY

——————————————-
เราจองทัวร์ของ TheSinhTourist สำหรับวันเดย์ทริปไปฮาลองเบย์ค่ะ ราคาคนละ 25$ รวมพายคายัคแล้ว แบบแสตนดาร์ด
จองกันไปห้าที่ นัดกันว่าเดี๋ยวมารับหน้าโฮสเทลตอนเช้าวันนี้ค่ะ หลังจากเราอาบน้ำลงมากินอาหารเช้าฟรี

ประมาณ 20 นาทีก่อนถึงเวลานัด รู้สึกว่าพร๊อพยังไม่พร้อมกันค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อลายเวียดนามเอย หมวกเอย เห้ย ไม่ได้นะ ไปฮาลองเบย์ทั้งทีก็ต้องจัดเต็มกันบ้างแหละ
เลยรีบเดินดุ่มๆไปหาซื้อกัน โดยให้พี่จ๊อบรออยู่โฮสเทล เพื่อเขามาก็จะบอกว่าให้รอก่อนนน

สุดท้ายก็กลับมาไม่ทันค่ะ แต่เขาบอกให้พวกเราเดินไปรอที่จุดรอรถเองแล้วกันตรงแถวด้านบนทะเลสาปฮวานเกี๊ยม
ไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ พี่จ๊อบก็นำทางพาเราไปแทนไกด์ เพราะว่าพี่แกเคยไปมาก่อนแล้วกับทัวร์นี้เลยรู้จุดดี
วันนี้พวกเรากับพี่จ๊อบต้องแยกย้ายกันค่ะ เพราะตอนสามทุ่มพี่จ๊อบจองทัวร์ไปเดินป่าพิชิตยอดฟานซีปัน ที่ซาปาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

แต่ยังไม่ร่ำลาตอนนี้ค่ะ กะว่ากลับมาจากทัวร์น่าจะมาทันก่อนพี่เขาไปกัน

ขาไปได้ขึ้นรถนอนไปค่ะ นอนดูวิวไปเรื่อยๆ นอนกันแบบสองสามตื่นก็ยังไม่ถึงซักที รถขับแบบเรื่อยๆมากกก เกือบ 4 ชั่วโมง มีแวะจุดพักให้เข้าห้องน้ำ กินข้าว ซื้อขนม ของฝาก ก่อนรถจะขับต่อ และมาถึงท่าเรือฮาลองเบย์ตอนประมาณบ่ายโมง หลังจากนั้นไกด์ก็จะมาแจกบัตรเข้าชมถ้ำ แล้วเราก็ทยอยกันเดินไปขึ้นเรือ

ขึ้นเรือปั๊ปก็รีบจับจองที่นั่งกันทันที อ่านมาดีว่าจะต้องมีจับกลุ่มกินข้าวกัน ปกติกลุ่มละหกคน
แต่โต๊ะเรามีเจ็ดคน เพราะมีเกาหลีสองคนมาร่วมวงด้วยย อาหารก็อย่างที่เห็นค่ะไม่ได้อร่อยแล้วก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
บนเรือมีเครื่องดื่มขายด้วย แต่ยังไงซื้อจากในเมืองมาจะถูกกว่านะ สภาพเรือเราเมื่อเทียบกับเรือลำอื่นก็ยังดูหน่อมแน้มกว่าค่ะ
บางเรือนี่มีเก้านั่งบนดาดฟ้าเรือแบบดูดี ไม่ก็จะมีไอ้ตัวผ้าๆคล้ายๆเรือตะเภา

อ่อออ อากาศหนาวมากกกกกกค่ะ ไม่พอลมก็แรงมากกกด้วย

เรือออกตัวมาซักพัก ก็มาแวะจอดให้เราลงไปดูถ้ำกัน พอเรือจอดส่งปั๊ป
เรือก็จะขับไปรอที่ทางออกถ้ำอีกด้านนึงค่ะ จากตรงที่เรือจอดเราต้องเดินเท้าขึ้นบรรไดชันกันต่ออีกนิดหน่อย
เราก็เดินๆกันไปค่ะ จริงๆจุดมุ่งหมายวันนี้ไม่ได้สนใจถ้ำเท่าไหร่ จิตใจมุ่งจะไปพายคายัคอย่างเดียว
แต่ว่าพอเข้าถ้ำไปแล้ว ก็สวยใช้ได้เลยค่ะ

หลังจากชมถ้ำเสร็จ เราก็ออกมาเดินเล่นแถวๆที่จอดเรือรอเวลา เพราะกว่าจะรอทุกคนขึ้นเรือครบเนี้ย
ก็ใช้เวลาซักพักค่ะ (อย่าลืมจำชื่อเรือกันนะ เดี๋ยวจะขึ้นผิดลำ) หลังจากนั้นเรือก็แล่นออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างทางไกด์ก็แนะนำหินรูปทรงต่างๆ ไก่เอย ก็อตซิลล่าเอย

ซักพักไกด์ก็จะมาพูดๆว่าจุดต่อไปเราจะไปทำกิจกรรมที่ต่างคนต่างจองกันมา
หรือถ้าใครไม่ได้จองมาก็ไปซื้อเอาที่นั่นได้ค่ะ มีพายคายัค(พายเอง) กับ เรือไม้ไผ่(มีคนพายให้) ด้วยความที่เรามากันห้าคนฉะนั้นจะเหลือเศษที่ต้องพายคายัคคนเดียว เราก็ไปปรึกษาไกด์กัน แต่กลายเป็นว่าลุงพยายามขายเรือไม้ไผ่แทน ทั้งๆที่เราจองคายัคมากันแล้วแถมถ้าเรือไม้ไผ่นี่ยังต้องให้ค่าทิปเพิ่มอีกด้วยด้วยนะ แต่ลุงแกก็มาพร้อมคำพูดที่สวยหรูว่า ” นี่ไม่ได้จะขายของนะยังไงแล้วแต่คุณเลย เดี๋ยวคุณไปเลือกหน้างานก็ได้ ” หราาาาาาาาาา

พอเรามาถึงโป๊ะกลางน้ำ ไกด์ก็จะแบ่งว่าใครพายคายัค ใครเรือไม้ไผ่พร้อมกับขายเรือไม้ไผ่ของแกต่อไปบลาๆๆๆๆ
และมีการขู่ด้วยว่า เรือคายัคอ่ะเปียกแน่ๆ ตอนแรกก็ยังเป้นมิตรกับลุงแกอยู่นะ แต่พอเราไปถามอีกทีว่าเศษที่เหลือของกลุ่มเราพายคนเดียวได้มั้ย
ลุงแกก็ สรุปไม่เอาเรือไม้ไผ่ใช่มั้ย ถ้าไม่เอาก็หลบไปไปทางนู้เลยตรงคายัคอะไปเลย เอ้าาาาาาาาา ไอ้หอกกกกก

สาบานว่าลุงไม่ได้เชียร์เรือไม่ไผ่ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเลยจริงจริ๊งงงงงงงงงง พวกเราเลยตีมึนไปต่อๆคิวเอา ถ้าพายคนเดียวได้ก็พาย
ไม่ได้ก็ไม่พายค่ะ สุดท้ายพี่ที่คุมเขาก็ให้ลงเรือไปกับฝรั่งที่เป็นเศษเหมือนกัน โอเคสบายใจไม่ต้องง้อมันไอ้ลุงเอ้ย

นี่การเป็นพายคายัคครั้งที่สองของเรา หลังจากครั้งแรกที่กึ่งพายกึ่งนั่งที่แม่น้ำซองวังเวียงค่ะ
ความรู้สึกแตกต่างกันมากกกกกกกกกกกกก อันนั้นเป็นแค่แม่น้ำไม่กว้างมาก ก็ว่าป๊อดแล้วนะ
นี่เป็นอ่าวใหญ่ๆแบบโครตใหญ่ ลึกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ที่สำคัญลมพัดแรงมากกกก ที่กลัวเลยคือกลัวเรือมันถูกพัดออกไปกลางอ่าว
(ถึงแม้แถวนั้นจะมีเรือชาวบ้านกั้นอยู่รอบนอกก็ตาม 555)

การพายเป็นไปอย่างทุลักทุเลมากค่ะ กว่าจะจับทิศทางได้ว่าต้องพายแบบนี้นะถึงจะถอยหลัง
ยังไม่รวมพร๊อพที่พวกเราพกมา ไม่ว่าจะเป็นหมวก แว่น กล้อง ที่กลายมาเป็นภาระ เพราะแค่สวมชูชีพอย่างเดียวก็อึดอัดกันจะแย่แล้ว
เราก็พายไปเรื่อยๆตามคนอื่น มีวนเข้าออกถ้ำ แล้วก็พายวนๆอยู่แถวนั้น ช่วงลอดถ้ำนี่ไม่น่ากลัวเลย น้ำตื้นจนต้องช่วยกันใช้ไม้พายดัน
ถ่ายรูปไปก็ต้องพายไป ไกด์ก็เรียกให้เข้าฝั่ง  เรือชาวบ้านก็กลัวชน กลัวรั้งท้ายก็กลัว
พายไปด้วยความกดดัน (จากตัวเอง) เหมือนจะนานแต่จริงๆประมาณ 20 นาทีเองค่ะน้อยมากกกก

หลังจากนั้นก็นั่งเรือกลับกันด้วยสภาพชุ่มก้น ก่อนหน้าก็มีคนบอกค่ะว่าฮาลองเบย์ไม่ได้สวยขนาดนั้น
เมื่อมาแล้วก็พบว่าจริงตามอย่างที่เขาพูด อาจจะเป็นเพราะเรามาไม่ถูกช่วงด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ หรือเป็นเพราะ
เรามาแค่แบบวันเดย์ทริปเลยยังไม่เห็นฮาลองเบย์ในอีกมุม

ไม่ได้จะแนะนำคนอื่นว่าอย่ามานะ ในความคิดเรายังไงถ้ามาฮานอยแล้วก็ต้องมาเห็นด้วยตัวเองซักครั้ง
ผลจะเป็นยังไงก็แล้วแต่คน ถ้าไม่ชอบอย่างน้อยก็มาให้ได้รู้เนอะว่ามาแล้ว

แต่ช็อตพีคสุดคือตรงขากลับค่ะ จากรถนอนเราถูกยัดมาใส่รถมินิแวนแทนค่ะ
และไกด์ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ สงสารฝรั่งมากก ด้วยความที่รถมันแคบ ขาก็ยาวเวลารถกระแทกที่ก็ร้องกันระงม
จำได้ว่าทรมานมากกก อยากให้ถึงซักทีหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูตลอด คนขับมีขับหลงด้วยค่ะ

ถึงจุดแวะพักที่เก่าคือทุกคนไม่อยากพักกันแล้ว ก็รีบๆเดินเป็นพิธีเข้าห้องน้ำ แล้วก็กลับมาจะขึ้นรถ
แต่กลายเป็นว่าต้องยืนรอคนขับกินข้าวก่อน เกือบยี่สิบนาที สรุปวันเดย์ทริปนี้นั่งรถไป 8 ชั่วโมง นั่งเรือแค่ 4 ชั่วโมงค่ะ
กลับมาถึงในเมืองประมาณสามทุ่ม พี่จ๊อบก็ไม่อยู่ที่โฮสเทลแล้วค่ะ น่าจะออกเดินทางไปแล้ว เสียดายมากไม่ได้ร่ำลากันเลย

หลังจากอาบน้ำเสร็จเราก็ออกไปลุยคืนสุดท้ายที่ฮานอย ด้วยการฝากท้องไว้กับร้านบาร์บีคิวกันค่ะ
มีหลายร้านมากตรงแถวโซนร้านเหล้า แต่ถ้าเขยิบออกมาจากโซนนั้นหน่อยราคาก็จะถูกลง
ที่ร้านมีทั้งแบบหม้อไฟ และกะทะราคาคิดเป็นหัวค่ะ แต่ไม่ใช่บุฟเฟ่ต์ เขาจะจัดใส่จานมาให้เราเอง
หัวละประมาณ 80,000 – 90,000 ดองค่ะ

ถ้ากะทะก็จะให้เนยมาหนึ่งกระปุก ใส่ไปเลยเยอะๆอร่อยมาก ยิ่งเอาขนมปังลงไปปิ้งนี่แบบคือดี
เจ้าของร้านก็มาช่วยเราย่างด้วยค่ะ 55555555555 มาม่าที่นี่ซองน่ารักมากก แนะนำให้ซื้อเป็นของฝาก
จากที่ว่าคืนนี้จะตะลุยกิน แต่เจอไปร้านเดียวก็จอดแล้วค่ะ อิ่มมากกก

DAY 8
HANOI – BANGKOK

——————————————-
กลับแล้วค่ะ ฮืออ รู้สึกอยากอยู่ฮานอยต่อให้นานกว่านี้มากๆ อาหารก็อร่อย นี่ยังไม่ได้ลองกาแฟไข่ ซีฟู๊ดอีกเยอะแยะเลย
พิพิธภัณฑ์ก็ไปมาแค่อันเดียว เวลาแค่นี้ไม่พอจริงๆกับฮานอยค่ะ

เครื่องออกเก้าโมงเช้า ใช้เวลาไปสนามบินประมาณหนึ่งชั่วโมง เท่ากับเราต้องออกจากที่โฮสเทลตอนหกโมงเช้าค่ะ
เตรียมตัวกันอย่างดีเพราะเพื่อนมีประสบการณ์ตกเครื่องไปแล้ว เราใช้บริการรถจากโฮสเทลไปส่งค่ะ นัดเวลากันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
รถปกตินั่งได้สี่คน ราคา 18$ แต่เราไปกันห้าคนเลยต้องใช้รถใหญ่เจ็ดที่นั่งราคา 20$ เอง

เส้นทางหลวงพระบาง – ฮานอย เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่อยากให้ลองกันมากๆค่ะ
ถึงจะใช้เวลาอยู่บนรถบัสนาน แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ (ครั้งแรกและครั้งเดียวก็พอแล้วววว 55555)

หลวงพระบางอย่างที่บอกค่ะ เป้นเมืองที่เสน่ห์แรงงมาก นั่งอยู่ในเมืองเดินดูนู่นนี่ก็เพลินแล้ว
ส่วนเวียดนาม จากตอนแรกติดลบกลายเป้นว่า ชอบมากกกกกกกกกกกกกก อยากไปทำทริปตะลุยกินที่เวียดนามมากๆค่ะ อาหารคือดีมาก อ่อ แล้วก็พูดเลยว่า เวียดนามครั้งแรก ไม่ถูกโกงค่ะ หง่อววววววว

ขอจบการรีวิวเท่านี้ค่ะ
ถ้ายังไม่ละเอียดพอ สามารถสอบถามได้นะคะ หรือว่าขี้เกียจอ่านเพราะยาวและเวิ่นเว้อมาก
ถามเฉพาะเรื่องได้เลยค่ะ ยินดีตอบบบบบมากกกๆ (:

BUDGET

• หลวงพระบาง
ค่ารถเชียงใหม่ – หลวงพระบาง 1,200 บาท
ค่าที่พัก 2 คืน 380 บาท
ค่ารถทั้งขาเข้าเมืองและออกเมืองไปสถานีรถ 120 บาท
ค่าเช่าจักรยาน 60 บาท
ค่าเช่ารถมอไซต์ 400 บาท (หาร 2 คนละ 200 บาท)
ค่าเข้าวัดเชียงทอง และพระธาตุพูสี น้ำตก 240 บาท (ที่ละ 80 บาท)
ค่าข้ามสะพาน 20 บาท
ค่าบุฟเฟ่ต์หมูกะทะ 240 บาท
ค่ากิน ซื้อโปสการ์ด จิปาถะอื่นๆรวม 1,000 บาท
# รวมแล้วประมาณ 4,000 บาท

• ฮานอย
ค่ารถหลวงพระบาง – ฮานอย 1,600 บาท
ค่าที่พัก 3 คืน 660 บาท
ค่าทัวร์ฮาลองเบย์ 750 บาท
ค่ารถเข้าเมือง 7 บาท
ค่ากินทุกมื้อ แล้วก็จิปาถะประมาณ 1,000 บาท
ค่าเครื่องบินฮานอย – กรุงเทพ 1,000 บาท
# รวมแล้วประมาณ 4,500 บาท

รวมแล้วทริปนี้หมดกันไปคนละประมาณ 8,500 บาทต่อคนค่ะ
ไปรถทัวร์ กลับเครื่อง ค่าใช่จ่ายเกี่ยวกับการกินดูเท่าๆกัน แต่ฮานอยได้กินแหลกลานกว่าหลวงพระบางมากกก
เราคิดเงินวิธีแบบคร่าวๆค่ะ แต่จริงๆเรทแลกเงินมันแพงกว่านี้นิดนึง แต่เราบวกเกินไปคร่าวๆให้แล้วค่ะ

ทริคเล็กๆน้อยๆ
• หลวงพระบาง ที่พักไม่ต้องนอนโฮสเทล ไปนอนเกสต์เฮ้าส์แล้วหารกัน เผลอๆถูกกว่าค่ะ
• ร้านอาหารลองเดิน หรือขี่จักรยาน หาเอาตามตรอกซอยที่ไม่ใช่โซนนักท่องเที่ยวดู จะถูกกว่ากันซัก 20 บาท
• ที่เที่ยวอื่นๆก็ยังมีนะ ตาดแซ่ ถ้ำปากอู
• หมูกะทะต้องห้ามพลาดนะ น้ำจิ้ม แล้วก็ของอย่างงี้มีเด็ดมากก
• ถ้าใครมีเวลา แนะนำให้นั่งรถไปเดียนเบียนฟู แวะซาปา แล้วค่อยมาฮานอย
• ฮานอยเราแนะนำ โฮสเทล มากๆ มันเป็นเหมือนจุดรวมพล สะดวกสบายทุกอย่างเลย
• Hanoi Rocks Hostel คือที่ไปพักมาค่ะ ดีมาก มี Free Walking Tour ด้วย แล้วมีพนักงานฝรั่งที่พูดไทยได้ด้วยย
• พิพิธภัณฑ์ที่เวียดนามน่าสนใจเยอะแยะมาก ถึงจะไม่ใช่สายนี้ก็ไปเหอะ
• ฮานอย เดินและขึ้นรถเมล์ดีที่สุดป้องกันการโดนโกงไดด้
• แถวโซนร้านขายของต่อราคาไปเลยยย เอาให้สุด
• ฮานอย ผับ บาร์ ร้านเหล้าทั้งแถวถนน และในโฮสเทล ปิดไวมากค่ะ ประมาณ 5 ทุ่มก็ปิดกันแล้ว มีตำรวจเขาออกมาตรวจกันถึงในโรงแรมเลย

Share the Post:

Related Posts

Land of Mountain and Meadows ‘New Zealand’ : ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์สัมผัสธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่แห่งเกาะใต้

อยากเกิดเป็นแกะที่นิวซีแลนด์ ประโยคนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่ เพราะหลังจากได้ไปเห็นด้วยตาเนื้อมาแล้วน้านนน  บอกเลยว่าถ้าชาติหน้าต้องเกิดเป็นแกะ แพะ วัว หรือเป็ด เราขอปักหมุดโลเคชั่นเป็นที่นี่แล้วกัน ยอมนอนเล็มหญ้าชิลๆ ก่อนโดนเชือด อย่างน้อยถ้าจะขิต

Read More

WEST COAST ROAD TRIP : ขับรถตะลุยอเมริกาฝั่งตะวันตก เก็บรวด 4 รัฐ CALIFORNIA / NEVADA / ARIZONA / UTAH

หลังจากอดเดินทางไปต่างประเทศเกือบสองปี ในที่สุด! เราก็ได้ออกเดินทางกันอีกครั้ง จุดหมายครั้งนี้คือ ‘อเมริกา’ อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าความอลังการของธรรมชาติที่นู่นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน สถานที่ที่บอกว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ นี่มันจะขนาดไหนกันเชียววว ทริปนี้เลยจัดไปเน้นๆ 43

Read More