Land of Mountain and Meadows ‘New Zealand’ : ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์สัมผัสธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่แห่งเกาะใต้

อยากเกิดเป็นแกะที่นิวซีแลนด์ ประโยคนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่ เพราะหลังจากได้ไปเห็นด้วยตาเนื้อมาแล้วน้านนน  บอกเลยว่าถ้าชาติหน้าต้องเกิดเป็นแกะ แพะ วัว หรือเป็ด เราขอปักหมุดโลเคชั่นเป็นที่นี่แล้วกัน ยอมนอนเล็มหญ้าชิลๆ ก่อนโดนเชือด อย่างน้อยถ้าจะขิต ก็ขิตท่ามกลางวิวธรรมชาติสวยๆ ภูเขาลูกเบิ้มๆ ทะเลสาบสีฟ้าแจ๋ว ก็คุ้มแล้วโว้ย~

ทริปนี้เราจะพาทุกคนขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์ ตะลุย เกาะใต้ South Island หนึ่งในรูทเส้นทางโร๊ดทริปที่เราพูดคำว่า สวย  สวยว่ะ โอ้ย สวยมากกก ตั้งแต่ต้นจนจบทริป ทริปนี้เราแอบขับรถย้อนกลับไปกลับมาเล็กน้อย เพราะว่าสภาพอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้ เลยต้องเปลี่ยนแพลนกันแบบกระทันหัน โดยรูทเส้นทางคร่าวๆ เริ่มต้นจากเมือง Queenstown – Wanaka – Fairlie – Twizel – Mt.Cook – Queenstown ถ้าใครอ่านรีวิวแล้วงงๆ หรือสงสัยตรงไหน ทักมาสอบถามได้ตลอดเลยนะ 🙂

Trip & Trick

  • ประเทศนิวซีแลนด์แบ่งออกเป็นสองเกาะ คือ เกาะเหนือ (North Island) และเกาะใต้ (South Island)
  • ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์ครั้งนี้ เราจะพาทุกคนมาเที่ยวฝั่ง West Coast ของเกาะใต้ โดยจะมีเมืองหลักสองเมืองใหญ่ๆ ที่คนชอบใช้เป็นจุดเริ่มต้นกันนั่นก็คือ Queenstown และ Christchurnch 
  • วีซ่ายื่นออนไลน์ผ่านเว็บ ทำเองได้ไม่ยากมากรีวิวในเน็ตเพียบ บางคนบอกรอไม่นานแต่เราล่อไปเกือบเดือน (ยื่นจากออสเตรเลีย) เพราะฉะนั้นเผื่อเวลาดีๆ เตรียมตัวกันแต่เนิ่น 
  • เที่ยวมากกว่าหนึ่งคน แนะนำยื่นเป็น Group Visa ราคาถูกกว่า แต่ตั๋วเครื่องบินเข้าออกต้องเหมือนกัน
  • เช่ารถใช้ใบขับขี่สากลหรือไทยก็ได้ ถ้าไทยต้องมีภาษาอังกฤษกำกับ ถ้าใช้สากลก็ต้องพกใบขับขี่ไทยมาด้วย แต่ละบริษัทมีข้อกำหนดไม่เหมือนกัน ถ้าเอาให้ชัวร์แนะนำส่งเมลล์ถามบริษัทที่จะเช่ากันไว้ก่อนเลย
  • เรากับเพื่อนขับรถไม่ค่อยเก่งมาก แต่พอถูไถไปได้อยู่ ทางไม่ได้โหดแต่บางช่วงแอบน่ากลัวเพราะมันเป็นถนนเลียบไปกับทะเลสาบ (ทางที่หวาดเสียวสำหรับพวกเราหลักๆ จะเป็นเส้น Queenstown – Wanaka กับ Queenstown – Glenorchy ที่เหลือสบ๊ายยย)
  • เราไปช่วงฤดูใบไม้ผลิปลายเดือนตุลาคม ไม่ใช่เดือนพีค ราคาตั๋วไม่แพงมาก อากาศเย็นกำลังดี
  • แทบจะไม่ได้ใช้เงินสดเลย แตะบัตรอย่างเดียว
  • ลงเครื่องมามีซิมโทรศัพท์ให้หยิบฟรีเลยที่สนามบิน แล้วค่อยกดเลือกแพ็คเก็จจ่ายเงินตัดบัตรเอา

DAY1 

หลังจากเครื่องแลนด์ดิ้งสู่เมือง Queenstown รับรถเช่าที่จองไว้เสร็จสรรพ เราก็มุ่งหน้าสู่ Arrowtown กันโลด เมืองเชิงเขาเล็กๆ สุดน่ารักที่ห่างออกไปเพียงแค่ 15 นาที เมืองนี้เหมาะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการแวะมานั่งคาเฟ่ กินมื้อเที่ยงสวยๆ ก่อนจะออกไปลุยป่าลุยเขาตามแพลน

จอดรถไว้แถวถนนเส้นหลัก Buckingham Road แล้วก็เดินเล่นได้เลยชิลๆ มีทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของฝากน่ารักๆ ให้หยุดแวะเต็มไปหมด อีกอย่างคือมีร้านอาหารไทยด้วยนะคะ! บริเวณลานจอดรถจะมีลำธารเล็กๆ บรรยากาศดีมาก แอบเห็นคนที่นี่มานั่งปิคนิคกันด้วย ชีวิตในฝันเลย 

แวะให้อาหารแก๊งค์น้อนแพะกันที่ Feed The Goat ด้วย เราบังเอิญไปเจอโลเคชั่นนี้จากการนั่งไถแผนที่ดูเล่นๆ เหมือนว่ามีฟาร์มใหญ่ๆ อยู่ด้านใน ก็เลยสร้างกรงแพะไว้ปากทางเข้าเฉยๆ ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ไม่มีค่าเข้า มีแค่ป้ายพร้อมกระปุกใส่อาหารวางไว้ กระปุกละ $2 หยอดลงในกล่องได้เลย

เชื่องและน่ารักสุดๆ ทันทีที่เราเลี้ยวรถเข้าไปจอด พวกชีก็จะยืนขึ้นทำหน้าตาแบบสอดรู้สอดเห็น แล้วก็มายืนออรออยู่ที่ริมรั้วกันเลย

ไปต่อกันที่เมือง Wanaka ขับลัดเลาะไปตามหุบเขาบนถนน Crown Range Road ถนนเส้นหลักที่สูงที่สุดในนิวซีแลนด์ให้ได้แอบหวาดเสียวกันเล็กน้อย แต่บอกเลยว่าวิวข้างทางคือสวยมากกกจริงๆ มีจุดชมวิวให้แวะยืดเส้นยืดสายและหยุดถ่ายรูปอยู่เป็นระยะ 

สำหรับเมืองนี้นอกจากจะมี Lake Wanaka ทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอับดับ 4 ของประเทศนิวซีแลนด์แล้ว ที่นี่ยังมีเส้นทางเดินเขาชื่อดังอย่าง Roys Peak อยู่ด้วย ใช้เวลาเดินกลับประมาณ 7 ชั่วโมง วิวอลังการงานสร้างมาก แต่ช่วงที่ไปเขาปิดเส้นทางพอดี  เราเลยแค่แวะมาเดินเล่นริมทะเลสาบ พร้อมถ่ายรูปกับต้นไม้เซเลปสุดฮอต #ThatWanakaTree ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวกลางน้ำ ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้เลยทีเดียวเชียว

แต่จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ยังไม่ใช่ที่นี้นะคะ แต่เป็นทะเลสาบอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 20 นาที นั่นก็คือ Lake Hawea ทะเลสาบที่อยู่คู่ขนานกับ Lake Wanaka นั่นแหละ แต่อาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ เพราะ Lake Wanaka ดังกว่า คนก็เลยเลือกที่จะไปนอนกันที่นู่นกันซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เราดั๊นบังเอิญไปเจอที่พักน่ารักเลยตัดสินใจมานอนค้างคืนที่นี่แทน 

The Camp ที่พักคืนแรกของเรา เป็น Camping Site ขนาดใหญ่อยู่ติดริมทะเลสาบเลย แต่ไม่ได้มีเฉพาะแค่ลานกางเต้นท์เท่านั้น ที่นี่เค้ามีที่พักให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งจุดจอดรถบ้าน เต้นท์ Glamping บ้านพักหลังเล็กๆ ยันบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่

เราจองเป็นกระท่อมสองชั้นหลังเล็ก Little Lake House เข้าพักได้สองคน มีห้องนั่งเล่นและครัวให้ทำกับข้าวอยู่ชั้นล่าง ส่วนเตียงนอนต้องปีนบันไดขึ้นไปด้านบน พร้อมห้องน้ำเล็กๆ หน้าบ้าน แต่ถ้าจะอาบน้ำเนี่ยต้องเดินไปใช้ห้องอาบน้ำส่วนกลางนะคะ ให้ฟีลเหมือนเข้าค่ายลูกเสือเลย แต่วิวหน้าบ้านคือถ้าคะแนนเต็มสิบ เอาไปเลยร้อยยย!

DAY2

วันนี้เราจะลุยขับรถเกือบสามชั่วโมง ไปยังจุดหมายปลายทางที่ไกลที่สุดของทริปนี้กันก่อน นั่นก็คือเมือง Fairlie แล้ววันถัดๆ ไป ก็จะค่อยๆ ขับย้อนกลับมาเส้นทางเดิมแล้วทยอยแวะตามแลนด์มาร์คจุดต่างๆ เอา 

ระหว่างทางเราจะผ่าน Lindis Pass หนึ่งในเส้นทางสวยติดอันดับ ด้วยถนนที่คดเคี้ยวไปตามหุบเขา Lindis และแม่น้ำ Ahuriri พร้อมด้วยทุ่งหญ้าสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ขนาบข้างไปตลอดทั้งทาง มีจุดจอดรถตรง Lindis Pass Viewpoint ให้แวะชมวิวถ่ายรูปด้วย

ขับมาได้ครึ่งทาง เราก็มาแวะกันที่ Mt Cook Alpine Salmon ร้านขายแซลมอนที่วิวสวยที่สุดที่เคยไปมา เพราะตัวร้านตั้งอยู่ติดริมทะเลสาบ Lake Pukaki ทะเลสาบสีฟ้าแบบฟ้าตะโกน เพราะเป็นการไหลมารวมกันระหว่างสองธารน้ำแข็งอย่าง Tasman Glacier และ Hooker Glacier

ที่นี่มี King Salmon สดๆ ขายส่งตรงจากฟาร์ม มีทั้งแบบเป็นตัว ชิ้นเสต็ก และแบบซาชิมิพร้อมโชยุ ซื้อมานั่งกินลมชมวิวริมทะเลสาบได้ ความอร่อยแซลมอนให้ร้อย ความสวยของวิวให้พัน 

ขับอีกชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงที่พักของวันนี้ Blackbird’s Nest Farmstay (จองผ่าน Airbnb) เป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่มีแค่ห้องนอนและห้องนั่งเล่น ซึ่งเจ้าของสร้างแยกออกมาจากบ้านตัวเองอีกที เวลาเข้าห้องน้ำจะต้องเดินไปใช้ที่บ้านโฮสต์ซึ่งไม่ไกลเลย สะดวกและเป็นส่วนตัวมากๆ มีอาหารเช้าให้ด้วยนะ

ทีเด็ดของที่นี่คือ! เค้าเลี้ยงลามะ อัลปาก้า และแกะไว้ที่บ้านเลย แถมที่นอนมันก็อยู่ติดกับห้องนอนเรา แล้วยังมีหน้าต่างเปิดออกไปทางฟาร์ม ทำให้ใกล้ชิดมากๆๆๆ พอเราเสิร์ชเจอที่พักนี้ปุ๊บ ถึงกับต้องเปลี่ยนแพลนใหม่หมดเพื่อที่จะจองมานอนที่นี่ให้ได้ 555555

บอกเลยว่าไม่ผิดหวัง ทันที่จอดรถก็มีแม่ไก่เดินออกมาต้อนรับ เท่านั้นไม่พอตามมาด้วยแก๊งค์น้องเป็ดเป็นฝูง เราไปทันตอนโฮสต์คุณลุงให้อาหารน้อนๆ พอดี จะบ้าตายน่ารักสุดๆ ให้ภาพเล่าเรื่อง

ใกล้ชิดติดขอบจอ บัตรจับมือ vvip ก็ทำให้ไม่ด้ายยยยย เพราะขนาดดึกแล้ว เปิดม่านออกไปมันก็ยังมีบางตัวแวะเวียนมาหาอยู่เลย 

DAY3 

ตื่นกันแต่เช้า พร้อมเสียงก๊องแก๊งๆ จากนอกหน้าต่าง เปิดม่านออกปุ๊บ ก็พบกับไอ้พวกขนปุยปั๊บ เหมือนมันนัดคิวกันมารออยู่แล้ว กะว่าแขกตื่นเมื่อไหร่ จะต้องได้เจอพวกมันแก๊งค์แรก 55555

ขอพูดคำว่า น่ารัก อีกเป็นรอบที่ร้อย ถ้าใครผ่านมาทางเมือง Fairlie แล้วมากันแค่สองคนกับเพื่อน ต้องมาพักที่นี่ให้ได้นะ! น้องน่ารักและเฟรนด์ลี่กันทุกตัวจริงๆ เช้านี้เรามาฝากท้องเบาๆ กับร้าน Fairlie Bakehouse ฟิลร้านพายชื่อดังประจำตำบล (ไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก เพราะว่าหิวเลยรีบกินรีบไป แหะๆ) 

แวะกันต่อที่ Burkes Pass เป็นเหมือนหมู่บ้านประวัติศาสตร์เล็กๆ ตั้งอยู่ติดริมถนนระหว่างทางไป Lake Takepo จากเมือง Fairlie ที่นี่มีร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก รวมถึงแกลอรี่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยของสะสมวินเทจ งานศิลปะ และรถคลาสิคจอดอยู่เรียงราย พร้อมเหล่าคุณลุงคุณป้าคอยให้บริการอยู่ น่ารักดีค่า เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าแวะเลย

และแล้วก็มาถึง Lake Takepo จริงๆ เป็นทางผ่านและเราแวะกันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่อากาศหนาว ลมแรง และท้องฟ้าครึ้มมาก วันนี้เลยมาแก้ตัวใหม่อีกรอบ พร้อมกับอากาศเป็นใจ แดดแรง ท้องฟ้าใสกิ๊ง ทำให้น้ำในทะเลสาบสีฟ้าใสแจ๋ว สวยมากกกกกก มากแบบ กอ ไก่ ล้านตัว ทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ พร้อมกับวิวฉากหลังที่เป็นเหล่าทิวเขา Southern Alps สลับซับซ้อนกันไป สวยมากจริงๆ 


บริเวณริมทะเลสาบทาเคโป จะมี The Church of the Good Shepherd โบสถ์เล็กๆ ตั้งอยู่ด้วย ถ่ายรูปสวยสุดๆ ไปเลย ยิ่งถ้ามาช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคมนะ แถวนี้จะรายล้อมไปด้วยดอกลูพินสีสันสดใส ที่เขาว่ากันว่าเป็นทะเลสาบสวรรค์ นี่ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

แถวทะเลสาบคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว มีกิจกรรมให้ทำเพียบทั้งพายคายัค, ว่ายน้ำที่สระ Tekapo Springs, ดูดาวตอนกลางคืน หรือขับรถขึ้นไปจิบกาแฟที่ Astro Cafe บน Mount John (วันที่เราไปปิดเสียดายมากๆ) นอกจากนั้นร้านอาหารเอเชียก็มีให้เลือกฝากท้องเยอะเช่นกันค่ะ ทั้งอาหารญี่ปุ่น ชานมไข่มุก รวมถึงอาหารไทยด้วย

หลังจากเดินเล่น นอนเล่นกันจนหนำใจ เราก็ขับรถมากันต่อกันที่เมือง Twizel เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐ Mackenzine แต่ว่ามันก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นนะทุกคน แทบจะเป็นเมืองเล็กๆ น่ารักๆ ฟิลชนบทท่ามกลางธรรมชาติซะมากกว่า แต่ว่าครบครันทั้งปั๊มน้ำมัน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านรวงต่างๆ 

เราเลือกมาพักแถวนี้คืนนึง เพราะต้องการมาตุนเสบียงให้พร้อม เติมน้ำมันให้เต็มถัง ก่อนวันพรุ่งนี้จะเข้าไปในอุทยานแล้วหาซื้อยาก ที่พักของเราคืนนี้ชื่อว่า Lake Ruataniwha Holiday Park เป็นลานกางเต้นท์ที่มีจุดจอดรถบ้านและกระท่อมหลังเล็กๆ คล้ายกับคืนแรก ที่พักประเภทนี้ราคาถูกมาก ถ้าใครไม่ติดเรื่องใช้ห้องน้ำรวม ประหยัดไปได้เยอะเลย แถมบรรยากาศดีอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ 

ปากทางเข้าที่พัก มีจุดจอดรถให้ชมวิวป่าสนและทะเลสาบ Lake Ruataniwha ด้วย จริงๆ ทะเลสาบนี้มันใหญ่มากนะ แต่เหมือนตรงใกล้ๆ ที่พักเรา มันเป็นเวิ้งหลบเข้ามาพอดี สวยยยยมากกกกกกอีกแล้ว  น้ำสีฟ้าใสแจ๋วแบบมองเห็นก้อนหินที่พื้น แต่ไม่รู้ว่าด้วยเป็นวันธรรมดาหรืออะไรยังไง ไม่มีคนเลยสักคน เงียบมาก แถมอากาศตอนนั้นมันครึ้มๆ จะว่าสวยก็สวยแหละ แต่ก็แอบวังเวงนิดๆ 

สำหรับเย็นนี้ไม่มีอะไรมาก เราขับรถวนไปรอบๆ หาจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก นั่งฟังเพลงกันบนรถ ทำกับข้าวกินกันที่ครัวส่วนกลางแล้วก็แยกย้ายเข้านอน แต่ก่อนนอนก็แว๊บไปเช็คเว็บไซต์อุทยานเตรียมตัวเผื่อวันพรุ่งนี้ สรุปว่าาาคืนนี้พายุฝนเข้า! พรุ่งนี้เส้นทางเดินป่าที่ตั้งตารอมาทั้งทริปปิด! แต่อาจจะเปิดในวันถัดไป ต้องรออัพเดตอีกที ว่าแล้วทำไมมมวันนี้มันอึมครึมเงียบเหงาไปหมด ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ 

DAY4

ตื่นเช้ามาแบบงงๆ ว่าชีวิตเอาไงต่อ เพราะตามแพลนเดิมคือจะขับรถไปอุทยาน Aoraki/Mount Cook National Park กันแต่เช้าเพื่อเดินป่า แล้วนอนค้างคืนข้างบนชิลๆ แต่ถ้ารีบไปตอนนี้รับรองว่าได้ติดแหง่กไม่มีอะไรทำชัวร์ เลื่อนที่พักก็ไม่ได้ อยู่เที่ยวแถวนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว

สรุปเราเลยเลือกที่จะขับรถไปที่เมือง Omaruma กันค่ะ แล้วค่อยย้อนกลับมาอุทยานอีกครั้งช่วงบ่าย เพราะเช็คแล้วว่าอากาศที่เมืองนู้นแดดกำลังออก (สภาพอากาศต้องเช็คกันเมืองต่อเมือง วันต่อวันกันเลย) จริงๆ เราแพลนมาแช่บ่อน้ำร้อนที่เมือง Omaruma กันวันสุดท้ายก่อนกลับเข้าเมือง แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว แช่มันวันนี้เลยล่ะกัน ขับมาประมาณ 20 นาที ก็มาถึง Hot Tubs Omaruma บ่อน้ำร้อนส่วนตัวกลางแจ้ง ติดริมทะเลสาบและทุ่งหญ้าพร้อมวิวภูเขา ยิ่งได้แช่ตอนอากาศหนาวๆ ฟินโครตตต

แนะนำให้จองล่วงหน้ามาก่อนที่ https://www.hottubsomarama.co.nz/ บ่อนึงแช่ได้สูงสุดถึง 8 คน ราคาเพิ่มไปตามจำนวนคน รอบนึงได้เวลา 90 นาทีค่ะ คุ้มๆๆๆ ต้องมา ฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารชื่อว่า The Wrinkly Rams ด้วยนะ อาหารอร่อย ร้านน่ารักและมีขายของฝากขายด้วย 

ถึงเวลาแห่งความเป็นจริง ได้เวลามุ่งหน้าสู่ Aoraki/Mount Cook National Park เหมือนเราขับรถเข้าไปในพายุฝน ยิ่งใกล้ถึงฝนก็ยิ่งตกฉ่ำ ไอ้ข้างทางที่เค้ารีวิวกันมาต่างๆ นาๆ ว่าสวย นี่แทบจะมองอะไรไม่เห็นอะไรเลย แต่โชคดีที่ทางขับง่ายมากไม่มีทางชันให้หวาดเสียว แต่จะมีข้ามสะพานบางช่วงที่รถวิ่งได้ทางเดียวต้องสลับกัน

และแล้วเราก็มาถึง Aoraki Mount Cook Village หมู่บ้านใจกลางอุทยาน พวกโรงแรมที่พักก็จะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ค่ะ ใครที่ตั้งใจจะมาพักในอุทยานแนะนำให้จองกันมาตั้งแต่เนิ่นๆ เลย เพราะตัวเลือกที่พักมีน้อย และเต็มเร็วมากๆ 

เราพักกันที่ Aoraki Alpine Lodge บรรยากาศน่ารักและอบอุ่นมากๆ ที่นี่จะไม่มีบริการอาหารเช้าหรือเย็นนะคะ แต่สามารถซื้อวัตถุดิบมาทำได้ที่โถงส่วนกลาง อุปกรณ์ครัวครบครัน แถมห้องนั่งเล่นมีกระจกบานใหญ่ เห็นวิวได้แบบเต็มๆ ตาเลย  ปล.วัตถุดิบต้องตุนซื้อกันมาจากเมืองใกล้ๆ นะ Twizel หรือ Lake Takepo ก็ได้ ที่เค้าท์เตอร์ที่พักมีขายแค่พวกขนมกรุบกริบ หรือถ้าใครไม่อยากทำอาหารกินเอง โรงแรมใกล้เคียงก็มีร้านอาหารให้ไปฝากท้องกันได้ค่ะ

เย็นวันนี้เป็นไปตามคาด ฝนตกตลอดทั้งคืน วิวนอกหน้าต่างแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย ได้แต่ทำกับข้าวนั่งกินกันกับแก๊งค์คุณลุงคุณป้า เก็บแรงรอเวลาฝนหยุดตกก่อนพร้อมออกไปลุยพรุ่งนี้

DAY5 

ตื่นมาตอนตีห้าพร้อมกับความงัวเงีย และหน้าต่างห้องนอนที่ไม่ได้ปิดผ้าม่าน เพราะแอบนอนลุ้นกันตลอดทั้งคืนว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุดตก อยากเห็นไอ้เจ้า Mount Cook ภูเขาลูกโตๆ แบบเต็มๆ ตาซะที คาดหวังว่าจะได้เห็นแค่ภูเขาที่มีหิมะหลอมแหลมอยู่ปลายยอดก็ดีใจแล้ว เพราะถึงภูเขาลูกนี้จะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี แต่เรามาช่วงฤดูใบไม้ผลิฟิมะก็น่าจะละลายไปแล้วเยอะอยู่

ผลปรากฎว่าเช้านี้ นอกหน้าต่างทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน หลังคารถเต็มไปด้วยกองหิมะหนาเตอะ ถนนแทบจะไม่เห็นแล้วว่าอยู่ตรงไหน ฮืออออออสวยมากๆ เซอร์ไพร์สุดๆ อากาศก็ลดลงไปเหลือแค่ 0 องศา แต่ในความโชคดีอีกใจนึงก็กังวลว่ารถจะขับได้มั้ย เพราะไม่ได้คาดหวังว่าพายุจะหอบหิมะมาด้วย เลยไม่ได้เช่า Snow Chain มา แต่สักพักพอสายๆ แดดออกหิมะก็เริ่มละลาย รถเกลี่ยหิมะค่อยๆ เริ่มวิ่งทำงานก็อุ่นใจได้ เช็คเว็บไซต์อุทยานเส้นทางเดินป่าก็เปิดแล้ว เอาล่ะ ถึงเวลาออกซ่า

ระหว่างทางขับรถไป Hooker Valley Track บอกเลยว่าสวยสุดๆ เพราะเราจะใช้ถนนหลักเส้นเล็กๆ มุ่งตรงไปสู่ Mount Cook ภูเขาลูกใหญ่มหึมาที่สูงที่สุดในนิวซีแลนด์กับความสูงกว่า 3,724 เมตร ที่ตั้งตะหง่านอยู่ปลายทาง สวยแบบโอ้วแม่เจ้า ไม่แปลกใจเลยที่อุทยานแห่งนี้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก และนักท่องเที่ยวแทบจะทุกคนต้องใส่ไว้ในลิสต์เมื่อมาเที่ยวที่นิวซีแลนด์

Hooker Valley Track เป็นเส้นทางเดินป่าระดับง่าย กับระยะทางไปกลับประมาณ 10km ใช้เวลาอยู่ที่ 3 ชั่วโมงแล้วแต่ความฟิตของร่างกาย และขึ้นอยู่กับว่าจะแวะถ่ายรูปบ่อยแค่ไหน ซึ่งมันน่าจะนานก็เพราะมัวแต่หยุดถ่ายรูปกันนิแหละ ระหว่างทางหันไปทางไหนก็สวยไปหมด ก้าวสิบถอยสามของแทร่

จุดหมายหลักของเส้นทางเดินป่ารูทนี้คือ Hooker Glacier Lake ทะเลสาบธารน้ำแข็งสีฟ้าที่อยู่ในหุบเขาปลายทาง เราจะเดินเลียบแม่น้ำ Hooker ไปเรื่อยๆ ผ่านสะพานแขวนทั้งสามจุด แต่ในความบุญมีแต่กรรมบังของพวกเราน้านนน ด้วยความที่พายุเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืน เส้นทางเดินป่าตอนนี้เลยเปิดให้เดินถึงแค่สะพานแขวนอันแรกเท่านั้น ระหว่างรอว่าจะเอาไงกันต่อดี เราบังเอิญเจอพี่คนไทยที่เค้ามาที่นี่รอบสองแล้ว เค้าบอกว่ามันสวยจนต้องกลับมาซ้ำอีก พี่เขาลองโทรถามเจ้าหน้าที่อุทยานได้ความว่า เขากำลังทำความสะอาดเส้นทางกันอยู่ อีกสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงสะพานน่าจะเปิดให้ได้เดินต่อ ดูสภาพตัวเองพร้อมสลับกลับไปดูสภาพเพื่อนที่หนาวจนปากเริ่มจะม่วงกันล่ะ 5555 

เอาเป็นว่าไม่รอแล้วกันเนอะ เพราะจากนี้เราต้องขับรถยาวๆ กลับไปที่เมือง Queenstown กันต่อ กลัวว่าจะถึงกันมืด บวกกับอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ และหิมะดูท่าว่าจะตกอีกรอบ แอบเสียดายอยู่นะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอบหน้าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก แค่นี้ก็สวยและคุ้มค่ามากๆ แล้ว!

ระหว่างทางกลับลงมาเข้าเมือง โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้ายังเปิดอยู่ ทำให้เราได้เห็นทะเลสาบสีฟ้าพร้อมกับฉากหลังภูเขา Mount Cook กันส่งท้ายเป็นการปลอบใจ (ถ้าใครมีเวลาเหลือระหว่างทางกลับ แนะนำให้แวะเดินเทรคสั้นๆ อีกเส้นทางนึง Tasman Glacier View Track ขึ้นไปดูทะเลสาบธารน้ำแข็ง หรือจะแวะจอดข้างทางดูวิวจุที่ Peter’s Lookout ก็ได้)

ก่อนขับรถกันยาวๆ เกือบสี่ชั่วโมงเต็ม เราแวะมาฝากท้องที่ High Country Salmon กันก่อน เป็นร้านขายแซลมอนที่ตั้งอยู่กลางฟาร์มแซลมอนเลย ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นวิวทะเลสาบเหมือนร้านแรกที่เราไป แต่ก็ฮิตสูสีตีคู่กันมา เนื่องจากที่นี่ไม่ได้มีขายแค่แซลมอนสดๆ เท่านั้น แต่มีเมนูให้เลือกเพียบ ตั้งแต่ซาชิมิ ซูชิ ยันสเต๊ก และเมนูคาเฟ่อีกเพียบ

ก่อนจะถึงเมือง Queenstown เราแวะกันที่เมือง Cromwell ด้วย เมืองนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ เป็นเมืองที่เพื่อนแนะนำมาอีกทีว่าน่ารัก เราเห็นว่าเป็นทางผ่านพอดีก็เลยลองแวะดู จุดที่เราแวะคือ มันจะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่เค้าจำลองพวกร้านค้า บ้านเรือนสมัยก่อนมาตั้งไว้ พร้อมกับมีหุ่นขี้ผึ้งอยู่ด้านใน ซึ่งมีเสียงบรรยายประวัติต่างๆ นาๆ แอบหลอนอยู่เหมือนกันนะ เพราะอากาศมันขมุกขมัว คนก็น้อย คิดว่าถ้ามาตอนเช้าช่วงอากาศดีๆ น่าจะสดใสหลอนน้อยกว่านี้ค่ะ ฮ่าๆ

ในที่สุดช่วงเย็นเราก็มาถึงเมือง Queenstown เมืองยอดฮิตของนักท่องเที่ยวสายแอดเวนเจอร์ เพราะเค้ามีกิจกรรมให้ทำเพียบ ไม่ว่าจะเป็นโดดบันจี้จัมพ์ ล่องเรือ เดินป่า ปีนเขา ยันสกายไดฟ์ แต่แพลนของเราอาจจะแตกต่างไปเล็กน้อย เพราะสำหรับเมืองนี้เราตั้งใจมาเดินเล่น นั่งเล่น พักผ่อนชิลๆ แทนค่ะ

ด้วยความที่เมืองมันน่ารักมากกกๆ มี Lake Wakatipu ทะเลสาบที่ยาวที่สุดของประเทศเลียบไปกับตัวเมือง พร้อมวิวเทือกเขา Southern Alps ที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง หยั่งกับรูปภาพในโปสการ์ด แค่ได้พาตัวเองมาอยู่ที่นี่ ก็ปลื้มปริ่มสุดๆ แล้วค่ะ

DAY6

ที่พักของเราสำหรับสองคืนส่งท้ายทริปนิวซีแลนด์ชื่อว่า Ora Retret เป็นที่พักที่เจ้าของดูแลเอง บรรยากาศน่ารักและ อบอุ่นมาก อยู่แถว Sunshine Bay ห่างจากตัวเมืองประมาณ 4km ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงๆ มองเห็นวิวภูเขาได้แบบเต็มๆ ตา ใครที่ไม่ได้เช่ารถขับ นั่งรถบัสจากในตัวเมืองก็มาถึงนะคะ ป้ายสุดท้ายพอดีแต่จะต้องเดินขึ้นเนินไปที่พักเล็กน้อย

ตอนเช้าลุกขึ้นมาจิบกาแฟ ทำกับข้าวล้างจานในห้องครัวที่วิวสวยที่สุดดดเท่าที่เคยเจอมา หยั่งกับใช้ชีวิตอยู่ใน Pinterest แหนะ

แล้วเราก็ขับรถมาที่ตลาด Remarkables Market ซึ่งแนะนำโดยเจ้าของที่พักหลังจากนั่งคุยกันเมื่อคืน เปิดเฉพาะวันเสาร์ เวลาเก้าโมงเช้าถึงบ่ายสอง เป็น Farmer’s market ที่เต็มไปด้วยของโลคอล ทั้งอาหาร ต้นไม้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงยังมีดนตรีสดอีกด้วย โชคดีมากๆ ที่เราอยู่ตรงกับวันที่ตลาดเปิดพอดี

หลังจากนั้นก็จอดรถเดินเล่นอยู่ในตัวเมืองยันเย็น (ที่จอดรถในเมืองหายากมาก เราต้องเขยิบออกมาจอดแถวๆ ทะเลสาบแล้วเดินเอา) ให้ภาพเล่าเรื่องนะคะ น่ารักสุดๆ สำหรับเมืองควีนทาวน์ ไม่อยากให้พลาดดด ตอนเย็นกินข้าวที่ร้านริมทะเลสาบ Public Kitchen Bar บรรยากาศโครตดีพร้อมดนตรีสดชิลๆ

DAY7

วันสุดท้าย หลังจากเช็กเอ้าท์ออกจากที่พัก เราก็มุ่งหน้าตรงสู่ Glenorchy เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เหนือสุดของปลายทะเลสาบ Lake Wakatipu ถนนที่เราขับรถจะเป็นถนนเส้นเล็กๆ วิ่งเลียบทะเลสาบและภูเขาไปเรื่อยๆ วิวระหว่างทางคือสวยแบบโอ้โหววว แต่แอบหวาดเสียวเล็กน้อยเพราะบางช่วงเป็นถนนเลนเดียวต้องสลับกันวิ่ง

ขับมาเกือบๆ ชั่วโมงก็ถึง เริ่มต้นด้วยการแวะคาเฟ่ The Trading Post จิบกาแฟสักเล็กน้อย ก่อนเดินไปถ่ายรูปกับบ้านหลังสีแดงยอดฮิตริมทะเลสาบ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องแวะเมื่อมาเยือนที่เมืองนี้

ก่อนจะขับเลยไปอีกสักหน่อย กับจุดหมายสุดท้ายนั่นก็คือ Glenorchy Animal Experience ค่าเข้าคนละ $25 และอาหารถุงละ 5$ เป็น Family Farm ที่มีทั้งแพะ ไก่ แกะ วัว ม้า และอัลปาก้าที่เราสามารถใกล้ชิดให้อาหารกันได้แบบมือต่อมือ ในทุ่งหญ้ากว้างๆ และวิวภูเขาลูกเบิ้ม น่ารักสุดๆ

ก่อนกลับเข้าเมืองมีร้าน Mrs Woolly’s General Store ที่เราอยากแนะนำให้แวะ เพราะเป็นทั้งคาเฟ่ ร้านขายของฝากน่ารักๆ เพียบบบ แต่ลืมถ่ายรูปมาให้ดู หลังจากนั้นเราก็แวะเดินเล่นที่เมืองควีนทาวน์ส่งท้าย ก่อนไปสนามบินเพื่อเดินทางเตรียมตัวกลับบ้าน 🙂

สำหรับทริปขับรถนิวซีแลนด์ เกาะใต้ เป็นอีกหนึ่งทริปที่โครตจะประทับใจ และถ้าถามว่าอยากกลับไปอีกมั้ย ตอบได้แบบทันทีไม่ต้องคิดเลยว่า ไป! อยากพาครอบครัวไปกลับไปอีกรอบ มีอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้แวะ และยังไม่ได้เห็นดอกลูพินสีสันสดใสริมทะเลสาบ ทริปนี้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ แนะนำทุกคนสุดๆ!

สำหรับรายละเอียดค่าใช้จ่าย ขอลงไว้คร่าวๆ สำหรับรายการหลักๆ แต่ถ้ารวมยอดแล้ว เราไปกับเพื่อนสองคน ทริป 7 วัน 6 คืน หมดไปคนละประมาณ 2,200AUD = 5x,xxx (รวมตั๋วเครื่องบินแล้ว ตั๋วถูกเพราะเราบินไปกลับจากออสเตรเลีย) ค่ากินจะประหยัดได้เยอะกว่านี้มากกกๆ ส่วนใหญ่เราทำอาหารกินกันเองก็จริง แต่แต่ละมื้อของพวกเรานั้นเล่นใหญ่มาก ทั้งแซลมอน สเต็กนู่นนั่นนี่ เพราะเวลาเข้า Supermarket บ้านเขา เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด ส่วนค่าเช่ารถและน้ำมัน ไปหลายคนก็ยิ่งหารกันถูกลงค่ะ

BUDGET ($AUD)
– ค่าตั๋วเครื่องบิน = $576/pp
– ค่าวีซ่า = $140/pp
– ค่าที่พัก 6 คืน =$931/2pp
– ค่าเช่ารถ = $510/2pp
– ค่าน้ำมันรถ = $192/2pp
– ค่าอาหาร = ~$1,000/2pp
– ค่าจิปาถะ (ของฝาก,ค่าเข้าสถานที่) = $337/2pp

Share the Post:

Related Posts

WEST COAST ROAD TRIP : ขับรถตะลุยอเมริกาฝั่งตะวันตก เก็บรวด 4 รัฐ CALIFORNIA / NEVADA / ARIZONA / UTAH

หลังจากอดเดินทางไปต่างประเทศเกือบสองปี ในที่สุด! เราก็ได้ออกเดินทางกันอีกครั้ง จุดหมายครั้งนี้คือ ‘อเมริกา’ อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าความอลังการของธรรมชาติที่นู่นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน สถานที่ที่บอกว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ นี่มันจะขนาดไหนกันเชียววว ทริปนี้เลยจัดไปเน้นๆ 43

Read More

TEACHER’S DIARY : บันทึก ‘คิดถึงวิทยา’ ครูอาสาบนโรงเรียนเรือนแพ

ช่วงปีก่อนเราอินกับงานอาสามาก พอมีเวลาว่างก็พยายามสมัครไปลองทำนู่นทำนี่อยู่เรื่อยๆ ทั้งฟาร์มสัตว์ โฮสเทล มิวเซียม แต่ไม่เคยลองเป็นครูอาสามาก่อนเลย ความจริงอยากลองนะ ถ้ามันเป็นอาสาแบบใช้แรงงานเนี่ย ถึงไหนถึงกัน แต่พอบอกว่าต้องไปเป็นครู

Read More