WEST COAST ROAD TRIP : ขับรถตะลุยอเมริกาฝั่งตะวันตก เก็บรวด 4 รัฐ CALIFORNIA / NEVADA / ARIZONA / UTAH

หลังจากอดเดินทางไปต่างประเทศเกือบสองปี ในที่สุด! เราก็ได้ออกเดินทางกันอีกครั้ง จุดหมายครั้งนี้คือ ‘อเมริกา’ อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าความอลังการของธรรมชาติที่นู่นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน สถานที่ที่บอกว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ นี่มันจะขนาดไหนกันเชียววว ทริปนี้เลยจัดไปเน้นๆ 43 วันถ้วน (ปลายเดือน ก.ย. – ต้นเดือน พ.ย.) 

แต่ในพาร์ทของ Road Trip นั้น เราจะใช้เวลาทั้งหมด 15 วันด้วยกัน ผ่าน 4 States นั่นคือ California, Nevada, Arizona, Utah โดยแบ่งออกเป็นสองทริปและเช่ารถสองแบบ เพราะฉะนั้นขอเริ่มต้นด้วยการกางแผนที่อเมริกาฝั่ง West Coast ให้ดูกันก่อน จะได้ไม่งงว่าทำไมเราต้องแยกรูทการเดินทางด้วย ทั้งๆ ที่เส้นทางมันต่อกัน เผื่อใครมีข้อจำกัดแบบเราจะได้เอาไปวางแผนทริปตัวเองได้ถูก 🙂

  • Car Road trip (Green Route) : รถธรรมดา เส้นทางเริ่มต้นจาก San Francisco – Lake Tahoe – Yosemite National Park – Mammoth Lake – Death Valley National Park – Las Vegas
  • RV Road trip (Yellow Route) : รถบ้าน ขับเส้นทางวนเป็นวงกลม เริ่มต้นจาก Las Vegas – Grand Canyon National Park – Lake Powell – Monument Valley – Moab, Utah – Aches National Park – Bryce Canyon National Park – Zion National Park – Valley of Fire – Las Vegas

คำเตือนล่วงหน้า : เรารู้สึกว่า 15 วันมันแอบน้อยไปหน่อย ระยะเวลาที่ขึ้นในแผนที่อาจจะดูเหมือนแปปเดียว แต่พอขับจริงถนนบางช่วงมันเป็นทางชัน คดเคี้ยว ทำให้ใช้เวลาขับมากกว่าเดิม เวลาไปถึง Campground หรือที่พักก็จะเย็นแล้ว ไม่ค่อยได้เดินเล่นดูวิวรอบๆ เท่าไหร่ ถ้าเพื่อนๆ มีเวลา แนะนำว่าให้บวกวันเพิ่มไปเลย เพราะอุทยานแต่ล่ะที่คือมีกิจกรรมให้ทำเพียบ จะได้ไม่ต้องรีบมาก

ตามแผนที่ถ้าจะขับรถบ้านรวดเดียวยาว เริ่มต้นและจบที่ San Francisco เลยก็ทำได้ แต่! เราจะต้องขับวนเป็นวงกลมผ่านเมืองใหญ่ทั้ง Las Vegas / Los Angeles ถ้าเข้าเมืองเราก็อยากพักที่พักสวยๆ สบายๆ เที่ยวช้าๆ บวกกับเราจะบินไป New York จาก Los Angeles อยู่แล้วด้วย รถบ้านเลยไม่จำเป็นเท่าไหร่ ถ้าเช่ารถบ้านแต่ไปนอนโรงแรม ก็เปลืองเงินมากๆ แถมพอเข้าในเมืองที่จอดรถก็หาลำบาก ถนนเส้นล่าง(เส้นสีขาว) ที่จะให้ขับกลับไป San Francisco ก็ไม่มีจุดน่าสนใจให้แวะมากนัก 

หรือถ้าจะให้เลือกขับจาก San Francisco แล้วมาคืนรถที่ Los Angeles เลย แบบ one way rental ค่าธรรมเนียมการเช่าก็จะแพงกว่าปกติไปมากกก ตัวเลือกรถก็น้อย สรุปเลยคือเราเลือกขับรถธรรมดาจาก San Francisco มาคืนที่ Las Vegas แล้วเช่ารถบ้านขับเที่ยวอุทยานต่อ แล้วค่อยวนกลับมาคืนรถที่จุดเดิม จบทริปแล้วก็บินไป Los Angeles (วิธีนี้เวิร์ค + ประหยัดสุดแล้วจากที่คำนวนมา)

_

CAR ROUTE : 5 DAYS 4 NIGHTS
SAN FRANCISCO – LAKE TAHOE ( 3:30HRS )

ถนนจากซานฟราซิสโกขับมาไม่ยากเลย ช่วงที่เรามาไฟป่าที่ทะเลสาบเพิ่งจบไปนาน อาจจะมีรถติดบ้างเล็กน้อย แต่โชคดีที่ธรรมชาติรอบๆ ยังสวยเหมือนเดิม ที่พักของเราคืนแรกคือ Fireside Lodge Lake Tahoe ($259/Lodge) น่ารักแบบเกินต้าน เป็นอารมณ์แบบกระท่อม bed & brekfast ราคารวมอาหารเช้าที่มีให้เลือกเยอะมาก แถมตอนเย็นก็มีไวน์กับบาร์ชีสให้นั่งกินฟรี มีกองไฟให้นั่งผิง ห้องเล่นเกมต่างๆ เจ้าของก็เฟรนด์ลี่สุด เราแนะนำมาก!

_

Lake Tahoe เป็น Alphine Lake ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ เขาว่ากันว่า “To obtain the air the angels breathe, you must go to Tahoe” เชียวนะ ที่นี่จะแบ่งออกเป็นสองฝั่งหลักๆ คือ ฝั่งเหนือและฝั่งใต้ 

เรามีเวลาไม่มากเลยเลือกเที่ยวแถวบริเวณใกล้ๆ ที่พักโซน South Lake Tahoe แวะไปดูทะเลสาบมุมสูงแถวจุดชมวิวตรง Emerald Bay Vista กับเดินชายหาดเลาะทะเลสาบแบบใกล้ๆ ที่ Sand Harbor Beach (Parking fee $10) บรรยากาศดีมากกก ระหว่างทางคือวิวสวยทุกจุด บอกไม่ถูกเลยว่าท้องฟ้ากับน้ำในทะเลสาบอันไหนฟ้ากว่ากัน 

สำหรับใครที่มีเวลาเยอะ กิจกรรมที่นี่ก็มีให้เลือกทำเพียบ หน้าร้อนก็พาย Paddle Board, เช่าเรือออกไปตกปลา, นั่งปิคนิคกันริมชายหาด, ปั่นจักรยาน ไม่ก็ไป South Lake Tahoe Beer Trail แทนที่จะเดินป่า เปลียนเป็นเดินตามล่าจิบเบียร์คราฟต์หลายๆ สูตรแทน เจ๋งมาก ช่วงหน้าหนาวคนส่วนใหญ่ก็จะนิยมมาสกีรีสอร์ทกัน

LAKE TAHOE – YOSEMITE NATIONAL PARK ( 5HRS )

จากทะเลสาบมาอุทยาน เราขับมาเส้น Mono Lakes-Lee Vinning เข้าทาง Tioga Pass Entrance (ปกติปิดในช่วงฤดูหนาว) ถนนบางช่วงข้างทางเป็นไหล่เขาแอบน่ากลัวนิดนึง แนะนำว่าควรรีบมาให้ถึงก่อนมืดเพราะไฟข้างทางแทบไม่มีเลย อีกอย่างระหว่างทางในอุทยานสัญญานโทรศัพท์เท่ากับศูนย์ จะต้องมาให้ถึงแถว Visoitor Centre ก่อน ถึงจะพอมีสัญญานบ้าง ควรโหลด Offline Map หรือแอปของอุทยาน NPS มาด้วยนะคะ

Yosemite National Park เป็นอุทยานแห่งชาติของอเมริกาที่ใหญ่มากกก! กินเนื้อที่กว่าสองล้านไร่ มีทางเข้าอยู่ 5 จุดแล้วแต่ว่าเราจะขับมาจากไหน โซนที่พักก็กระจายอยู่หลายจุด มีทั้งแบบบ้านพัก ลานกางเต้นท์ แนะนำว่าต้องวางแผนให้ดีว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง และแถวนั้นใกล้กับที่พักโซนไหน เพราะแต่ละที่ค่อนข้างห่างไกลกันพอสมควร เราเลือกมานอนแถวโซน Yosemite Valley โซนนี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางหลักๆ ของนักท่องเที่ยวเลย มีทั้งซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ จุดขายของที่ระลึก จุดให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว แล้วก็ยังใกล้สถานที่เที่ยวไฮไลท์จุดต่างๆ ด้วย 

เราพักกันที่ Curry Village ($175) ที่นี่ไม่มีสัญญานโทรศัพท์นะ เป็นเหมือนแคมป์ลูกเสือ นอนเต้นท์ผ้าใบติดฮีทเตอร์ ห้องน้ำรวม มีจุดส่วนกลางขายอาหาร คนที่มาพักเวลาจะกินข้าวก็มาซื้อกินกันที่นี่ค่ะ ตอนกลางคืนเขามีกฎด้วยนะว่าห้ามเอาอาหารหรือของที่มีกลิ่นหอมๆ ทิ้งไว้บนรถ ต้องเอามาเก็้บที่ล็อคเกอร์หน้าเต้นท์เราแล้วล็อคให้ดี เพราะแถวนี้มีหมีดำน้องชอบมาคุ้ยค่ะ ถ้าทิ้งไว้เราจะถูกปรับด้วย

สถานที่ทองเที่ยวในอุทยานมีเยอะม๊ากกกก วางแผนมาอยู่ได้เป็นอาทิตย์เลยค่ะ ใครที่ชอบการเดินป่าเราว่าต้องชอบที่นี่มากแน่ๆ เพราะเขามีเส้นทางเดินป่าทั้งแบบสั้นแบบยาว ปีนเขา ไปน้ำตก คือตื่นเช้ามาเราจะเห็นทุกคนแต่งตัวแบบ Outdoor ถือแผนที่สายกระเป้าเป้พร้อมออกไปลุยธรรมชาติกันแล้ว 

แต่ด้วยความที่ระยะเวลาเราน้อย เลยเลือกเก็บเฉพาะจุดไฮไลท์เด็ดๆ ใกล้ๆ แทน ระหว่างที่ขับไปยังจุดต่างๆ บอกเลยว่าวิวข้างทางคือสวยมากจริงๆ ทิวเขาเรียงสลับกัน ข้างทางบางครั้งก็เจอสัตว์ป่าทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก ที่นี่สามารถมาได้ทุกฤดูเลยนะคะ จะร้อน หนาว หิมะ บรรยากาศก็สวยแตกต่างกันไปแล้วแต่ช่วง

สำหรับอุทยานแห่งชาติที่อเมริกา แนะนำให้ทุกคนศึกษาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ www.nps.gov/index.htm เขาจะมีบอกหมดแทบทู้กอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นจุดที่เที่ยว ที่พัก เส้นทางเดินป่าที่มีบอกทั้งระยะทาง ระดับความชันและยาก รวมถึงพวกข้อมูลอัพเดตต่างๆ ด้วยเช่นจุดไหนปิดเที่ยวไม่ได้ มีอันตรายตรงไหน สภาพอากาศเป็นยังไง บลาๆ

เราเลือกเดินดูธรรมชาติกันสั้นๆ กับเส้นทาง Cook’s Meadow Loop ระยะทางแค่ 1.6 km แล้วก็ไป Inspiration Point ดูวิว Tunnel View / El Capitan ถ้าใครมีเวลาช่วงเย็นก็อย่าลืมไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Glacier Point ด้วยนะคะ ระหว่างทางกลับเราผ่าน Taneya Lake ด้วย เป็นทะเลาสาบกว้างๆ น้ำใสแจ๋ว มาช่วงเช้าอากาศดีและคนน้อยสุดๆ 

YOSEMITE NATIONAL PARK – MAMMOTH LAKES ( 2:30HRS )

Mammoth Lakes เมืองในเทือกเขา Sierra Nevada ที่นี่โด่งดังเพราะเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ที่ดีที่สุดใน California ที่พักส่วนใหญ่จะเป็นฟิลบ้านพักตากอากาศ มีทั้งแบบอพาร์ตเมนต์ บ้านเป็นหลังให้เลือกเยอะมากๆ ผ่านทาง Airbnb เรามาช่วงที่ยังไม่มีหิมะ จุดหมายหลักของเราที่นี่เลยกลายเป็น Hot Spring ลับๆ ที่บังเอิญเลื่อนเจอตอนนั่งวางแพลนท่องเที่ยวแทน

Wild’s Willy Hot Spring (Free!) บ่อน้ำพุร้อนท่ามกลางธรรมชาติพร้อมวิวเทือกเขางามๆ ที่ไม่เสียเงินค่าเข้าสักกะบาท สุดยอดดดด ถ้าใครขับรถผ่านทางเส้นนี้ พูดได้คำเดียวว่าต้องแวะ! ยิ่งได้มาช่วงเย็นๆ แช่น้ำร้อนท่ามกลางอากาศหนาวๆ พร้อมจิบเบียร์มันคือที่สุดแล้ว! สามารถเสิร์ชแล้วขับมาตามแมพได้เลย ก่อนถึงจะเป็นถนนลูกรังสักประมาณ 2.5 km จอดรถไว้แล้วเดินตามทางไม้เข้าไปอีก 300m อยากลงบ่อไหน เลือกแช่ได้ตามสบายค่ะ 🙂

ที่พัก

MAMMOTH LAKES – DEATH VALLEY NATIONAL PARK ( 3HRS )

ระหว่างทางเราจะผ่านเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Lone Pine ถ้าใครมีเวลาเหลือเราเชียร์ให้แวะนอนที่นี่สักหนึ่งคืน (หรือหลายๆ คืนก็ได้) เพราะจุดเด่นของที่นี่คือ Mt.Whitney และ Alabama Hiils ทำให้เมืองนี้เปรียบเสมือน Base Camp ของเหล่านัก hikers, climbers, campers ทั้งหลายด้วย ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Wild เมืองนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งใน Pacific Crest Trail เส้นทางเดินป่าที่ระยะทางติดกัน 2,600 miles ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ชายแดนรัฐ California และ Maxico ไปยังชายแดนของ Washinton และ Canada

ขนาดเราขับรถผ่านเฉยๆ (พร้อมเปิดเพลง Sweet home Alabama ไปด้วย) ยังชอบเลย เพราะมันเป็นถนนเส้นเล็กๆ เลียบเทือกเขาไปตลอดทาง เอาล่ะ! กลับมาที่ Death Valley National Park กันต่อ ที่นี่เป็นอุทยานที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในอเมริกา เพราะฉะนั้น ‘หุบเขามรณะ’ ชื่อนี้ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย 

ภายในอุทยานแบ่งออกเป็นสามจุดหลักๆ คือ Furnace Creek / Stovepipe Wells / Scotty’s Castle มาตามเส้น High Way 136 ทางค่อนข้างอันตรายเพราะชันและคดเคี้ยว ทำให้ต้องค่อยๆ ขับมาใช้เวลาพอสมควรเลยค่ะ ที่สำคัญตุนเสบียงและน้ำดื่มกันมาให้พร้อมนะ ใครหวังร้านข้างแบบโรตีสายไหมเส้นอยุธยางี้ ลืมไปได้เลยยย

วิวข้างทางเป็นทุ่งกว้างๆ ยาวสุดลูกหูลูกตา สวยแปลกตาไปอีกแบบ จุดเที่ยวในอุทยานสวยๆ มีเพียบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Artist’s Palette ภูเขาหินหลากสีสัน / Badwater Basin จุดพื้นที่ที่ต่ำที่สุดใน California เป็นต้น แต่ควรทำการบ้านมาให้ดีนะ เพราะแต่ละที่ไกลกันมากๆ บางจุดก็ไม่มีสัญญาน หลงเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน

เราเลือกมาพักรถและนอนค้างที่ Stovepipe Well ($80) เป็นจุดหลักๆ ที่นี่มีทั้งปั๊มน้ำมัน ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และที่พักในจุดเดียว ที่สำคัญยังใกล้กับ Mesquite Flat Dunes ทะเลทรายกลางหุบเขาที่เราตั้งใจมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แนะนำว่าพอจอดรถแล้วให้เดินมาไกลๆ เลย จะได้วิวเนินทรายสวยๆ ที่ไม่มีรอยเท้าคนและต้นไม้ค่ะ

ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้มาตอนพระอาทิตย์ขึ้นนี่แหละ ช่วงเวลานี้สวยที่สุดแล้ววว

หลังจากนั้นเราก็ขับตรงไปที่ Las Vegas ใช้เวลาอีกประมาณ 2:30hrs เป็นอันว่าจบเส้นทางในฝั่งของ California พักยืดเส้นยืดสายด้วยการเที่ยวอยู่ที่เมืองนี้ต่อกันอีกเกือบสัปดาห์ ก่อนที่จะเตรียมตัวเช่ารถอีกครั้ง เพื่อเริ่ม Road Trip เส้นทาง Arizona และ Utah ในแบบฉบับ RV Life เตรียมตัวไปกินนอนและใช้ชีวิตอยู่บนรถบ้านกันแบบจริงๆ จังๆ!

RV LIFE 101
HOW TO BOOKING

สำหรับการจองรถบ้าน (ที่นี่เขาเรียกกันว่า RV หรือ Motorhome) แทนที่จะจองกับบริษัทใหญ่ที่รถบ้านจะหน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด เราตัดสินใจจองผ่าน outdoorsy.com เว็บไซต์ที่เจ้าของจะเอารถบ้านส่วนตัวมาปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ ต้องเกริ่นก่อนว่าที่อเมริกา การมีรถบ้านคือเรื่องปกติ บางคนใช้ชีวิตอยู่บนรถบ้านเลยก็มี หรือบางทีซื้อเอาไว้เผื่อขับไปเที่ยวตามรัฐต่างๆ ประหยัดค่าที่พัก พอไม่ได้เที่ยวก็ปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ

เพราะฉะนั้นความสนุกของเว็บนี้คือ เราจะมีรถบ้านหลากหลายขนาด หลากหลายรูปแบบ และยี่ห้อให้เลือกจนตาลาย แถมราคาถูกกว่าเยอะเพราะได้เช่ากับเจ้าของเลย มีตั้งแต่ Camper Van เล็กๆ ขนาด 1-2 คน ยัน RV Class A รถบ้านขนาดใหญ่นอนได้เป็น 10 คนก็มี พร้อมมีรูปข้างในให้ดูอย่างละเอียด บางคันครัวมีเตาอบ บางคันที่นอนอยู่ด้านบน เราสามารถไล่หาเอาได้เลย แทบจะทุกรัฐทุกเมืองมีคนมาปล่อยเช่าเพียบ ถ้ายังไม่มั่นใจก็แชทคุยกับเจ้าของหรืออ่านรีวิวก่อนได้

โดยหลักๆ เอกสารที่เราต้องมีคือ ใบขับขี่ไทย และ ใบขับขี่สากล หลังจากจองเขาจะให้ระบุเลยว่าใครจะเป็นคนขับบ้าง ทุกคนที่ขับจะต้องอัพโหลดเอกสารใบขับขี่เพื่อเป็นการลงทะเบียนไว้ แล้วก็มีเอกสารสัญญา พวกประกัน การรับรถให้เซนต์ประมาณนี้ค่ะ

ทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 6 คน กระเป๋าเดินทางใบใหญ่กันคนละใบ เราตัดสินใจว่าจะเลือกรถขนาดเล็ก Class C ความยาวรถประมาณ 24ft จะได้ขับไม่ยากมาก แล้วก็สะดวกเวลาหาที่จอดรถในเมืองและแคมป์ สรุปได้เจ้า 2001 Coachmen Catalina ราคาวันละ $160 ขับได้ 100 miles/วัน ใช้เครื่องปั่นไฟได้ 4hrs/day ถ้าเกินก็คิดเงินเพิ่ม (ไม่รวมค่าประกันและค่าเพิ่มเติมอื่นๆ เดี๋ยวจะสรุปค่าใช้จ่ายให้อีกทีด้านล่าง)

มีทั้งหมด 3 เตียง แบ่งออกเป็นเตียงปกติ 1 เตียง / เตียงด้านบนหัวคนขับ 1 เตียง (ตอนกลางวันเป็นที่วางกระเป๋าเดินทาง) / เตียงที่ 3 ซึ่งตอนกลางวันเป็นโต๊ะกินข้าวพอตกเย็นกางออกเป็นที่นอน และมีห้องน้ำ 1 ห้องถ้วน ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ไปใช้ห้องน้ำของแคมป์แทน เพราะไม่อยากถ่ายของเสียกันเยอะค่ะ 5555 ส่วนเครื่องครัวก็ครบครันมีตู้เย็น เตาอบ เตาแก๊สพร้อม มีส่วนเก็บของด้านนอกรถด้วย ไว้ใส่พวกฟืน เก้าอี้แคมป์ ไม่ได้ใหญ่มาก

สำหรับ 6 คนถือว่าแออัดไปนิด แล้วก็เหนื่อยหน่อยที่ต้องยกกระเป๋าขึ้นลงทุกครั้งที่ตื่นและนอน แต่ถ้าเทียบกับราคาและความสะดวกที่ขนาดรถไม่ได้ใหญ่มาก ถือว่าโอเคมากๆ เลยค่ะ

HOW TO LIVING

สำหรับคนที่ความรู้เกี่ยวกับรถบ้านเป็นศูนย์ ไม่ต้องห่วงค่ะ เราคือเพื่อนกัน! หลังจากจองเสร็จแล้วเนี่ยพอถึงวันรับรถ เจ้าของรถเขาก็จะมาสอนอธิบายเองว่า รถเขาใช้ยังไง ขับยังไง อะไรยังไงอยู่ตรงไหน ถ้าไม่เข้าใจก็ถามเขาได้เลย และถ้าปัญหาถัดมาของคุณคือ ฟังภาษาอังกฤษบ่ค่อยออก เราคือเพื่อนกันอีกแล้วค่ะ 55555555 

เอาเป็นว่าเดี๋ยวสรุปง่ายๆ ให้ฟัง อาจจะไม่เป๊ะ 100% แต่ก็พอถูๆไถๆ ไปรอดอยู่ ซึ่งรถบ้านเนี่ยมันก็เหมือนรถทั่วไปนี่แหละ แต่เผอิญมันมีครัวและห้องน้ำมาเพิ่ม ทำให้เราต้องใช้ไฟมากกว่าเดิม รวมถึงเราต้องใช้น้ำในการล้างจาน อาบน้ำ ถ่ายหนักถ่ายเบา ดังนั้นมันก็ต้องมีแทงค์น้ำสำหรับเก็บน้ำสะอาด และแทงค์น้ำสำหรับกักเก็บน้ำเสียติดรถมาด้วย ไปเที่ยวหลายวันน้ำสะอาดหมด น้ำเสียก็เต็ม รวมถึงถ้าจะเปิดแอร์ รถมันกว้างกำลังไฟก็สู้ไม่ไหว เขาเลยมีต้องรูสำหรับเติมไฟ เติมน้ำ ถ่ายเทของเสียมาด้วย 

เวลาเราไปจอดรถค้างคืนตาม RV Park หรือ Campground ที่ต่างๆ เนี่ย เขาก็จะมี จุดจ่ายน้ำ (Water Hook Up) จุดจ่ายไฟ (Electronic Hook up) / จุดถ่ายของเสีย (Dump Station) ไว้บริการ ให้เราเสียบปลั๊กรับไฟ แล้วก็ต่อสายยางหรือท่อ เพื่อเติมน้ำและถ่ายของเสียเองได้เลย

แบ่งให้ดูชัดๆ อีกทีตามนี้

  • Water (น้ำ) : แบ่งออกเป็น ‘น้ำสะอาด’ และ ‘น้ำเสีย’ ซึ่งน้ำเสียก็จะแบ่งอีกว่าเป็น น้ำเสียจากอ่างล้างจาน-อาบน้ำเก็บอยู่ใน Grey Tank กับ น้ำเสียจากโถส้วมพวกถ่ายหนักถ่ายเบาเก็บอยู่ใน Black Tank (บางคันอาจมีแค่ Black Tank อย่างเดียวเก็บรวมกันไปเลย)
  • Electronic (ไฟ) : เราจะได้มาจาก 2 แหล่งคือ 1) จุดจ่ายไฟ (Electronic Hook up) ซึ่งจะมีให้บริการอยู่ที่ Campground ที่เราไปจอดรถค้างคืน เสียบปลั๊กปุ๊บ ก็ใช้ทุกอย่างได้เหมือนอยู่ที่บ้านเลย แต่ถ้าระหว่างขับรถหรือเราไป Campground ที่ไม่มีจุดจ่ายไฟขึ้นมา แล้วเราอยากใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าล่ะก็ สามารถกดเปิดสวิตซ์ 2) เครื่องปั่นไฟ (Generator) ได้เลย ซึ่งคันที่เราเช่ามาใช้ฟรีได้ 4 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าเกินก็เก็บเงินเพิ่ม

ซึ่งรถแต่ละคัน แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไป แนะนำว่าให้ถามเจ้าของรถให้ชัวร์ๆ อีกครั้ง ส่วนวิธีการเติมน้ำ เสียบปลั๊กไฟ รวมถึงถ่ายของเสีย เจ้าของเขาก็จะสอนเราอยู่แล้วค่ะว่าทำยังไงบ้าง ถ้าเอาให้ชัวร์ก็อัดคลิปไว้ดูย้อนหลังไปเลย หรือถ้าติดขัดอะไรก็ส่งข้อความไปถามเจ้าของได้ค่ะ ( แถมรูปหน้าตาเครื่องวัดระดับน้ำและของเสียมาให้ มีบอกระดับให้เราเตรียมรับมืออยู่ )

HOW TO PARKING

สำหรับการจอดรถบ้าน ถ้าเป็นแบบจอดชั่วคราวเพื่อซื้อของกินของใช้ตามห้างทั่วไป เขาก็จะมีช่องจอดสำหรับรถบ้านเอาไว้ให้ สั่งเกตุง่ายๆ คือช่องมันก็จะยาวกว่าช่องอื่นๆ แค่นั้นแหละ แต่สำหรับการจอดแบบค้างคืน เราต้องจอดในที่จอดรถค้างคืนสำหรับรถบ้านเท่านั้น! ซึ่งเขาจะเรียกกันว่า RV Park หรือ RV Campground เหมือนที่บอกไปด้านบน

ซึ่งวิธีการหาก็ง่ายๆ แค่พิมพ์ชื่อสถานที่ที่เราจะไป พร้อมต่อด้วย RV Park หรือ RV Campground แล้วก็จะมีขึ้นมาให้เลือกเพียบ หลักๆ ที่เราต้องดูเลยคือ 3 สิ่งที่สำคัญกับรถบ้าน นั่นก็คือ Water Hook Up Electronic Hook up / Dump Station ถ้ามีครบทุกอย่างเขาจะเรียกว่า Full Hook Upรวมถึงกำลังไฟใช้ถ้าคันเล็กๆ แบบเรา 30amp ก็เอาอยู่ ซึ่งถ้าเป็นของเอกชนทั่วไปส่วนใหญ่ก็จะมีครบ แต่ถ้าเป็นแคมป์ที่อยู่ในอุทยานส่วนใหญ่จะมีไม่ครบ แต่วิวอลังการมากกก เข้าไปเลือกดูและจองได้ที่ www.recreation.gov

บางที่ถ้าไม่ Full Hook Up ก็ไม่เป็นไรนะคะ อย่างน้ำสะอาดถ้าเราไปพักแคมป์ที่มีจุดจ่ายน้ำเราก็ตุนไว้ให้เต็มถัง ไฟฟ้าเราก็ใช้เครื่องปั่นไฟเอาได้ (แต่ต้องดูด้วยว่าที่แคมป์นั้นมีกฎเรื่องจำกัดเวลาการใช้เครื่องปั่นไฟมั้ย) หรือบางครั้งอากาศหนาวก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าหนาวเกินก็ต้องเปิดฮีตเตอร์เอา คันที่เราเช่ามาเป็นแบบใช้แก๊สเลยไม่ต้องกังวล ส่วน Dump Station ถ่ายของเสีย เราเน้นเข้าห้องน้ำที่แคมป์เป็นหลัก สบายและสะดวกกว่า 2-3 วันถึงได้ใช้ค่ะ แนะนำว่าให้วางแผนดีๆ

ส่วนพวก Campground Amenities ก็สำคัญ! ไม่ใช่ว่าทุกที่จะมีเหมือนกันหมด เช่นเครื่องทำน้ำแข็ง ห้องซักผ้าอบผ้า สระว่ายน้ำ ร้านขายของ โต๊ะปิคนิคส่วนตัวเป็นต้น อีกทั้ง พื้นที่สำหรับก่อไฟ (Campfire) ก็สำคัญน้าาา บางทีให้มาแค่เตาย่างใช้ได้เฉพาะถ่าน บางทีให้เป็น Fire Ring สำหรับจุดไฟกันหนาวและปิ้งย่างใช้ฟืนได้ หรือบางที่ให้ใช้เฉพาะเตาแก๊สเลยก็มี เผื่อวันไหนอยากปิ้งย่างจะได้ไม่เตรียมของเก้อ ซึ่งฟืน ถ่าน อุปกรณ์ไรงี้หาซื้อได้ทั่วไปตามปั๊มน้ำมันเลยยย

LAS VEGAS – GRAND CANYON NATIONAL PARK ( 4:30HRS )

ก่อนเริ่มต้นทริปรถบ้าน เราแวะ Walmart อารมณ์โลตัสบิ๊กซีบ้านเรา เพื่อตุนของสดของแห้งกันไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ต้องเยอะมากก็ได้นะคะ เพราะตามเมืองใหญ่ๆ เราก็สามารถหาซื้อเพิ่มเติมได้ แต่อย่างพวกเครื่องปรุงไทยๆ เช่นพริกป่น ผงลาบอะไรแบบนี้ต้องเข้าร้านขายของไทย หรือ Asian Market ในเมืองใหญ่โดยเฉพาะ

ระหว่างทางไป Grand Canyon National Park เราจะวิ่งบนถนน Route 66 ซึ่งเป็นถนนเส้นประวัติของอเมริกา ลากยาวไปกว่าสี่พันกิโลเมตร เริ่มต้นจาก Santa Monica, California ไปจบที่ Chicago, illinois โดยเราแวะกินมื้อกลางวันที่เมือง Seligman เมืองเล็กๆ สุดน่ารักที่การ์ตูนเรื่อง Cars ของ Pixar ได้แรงบันดาลใจไปสร้างเป็นฉากในเรื่อง 

Grand Canyon National Park อุทยานแห่งชาติที่ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พอได้มาเห็นความอลังการของหน้าผาสูงชันสลับซับซ้อนแล้วก็ต้องบอกเลยว่า มันสวยมากจริงๆ ที่นี่มีพื้นที่กว้างใหญ่มากๆ เขาเลยแบ่งที่เที่ยวออกเป็นโซน ได้แก่ South Rim / North Rim / West Rimรอบนี้เรามากันที่ฝั่ง South Rim ซึ่งเป็นฝั่งยอดฮิตของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นที่พักบริเวณรอบๆ จะเต็มเร็วมาก แล้วยิ่งเป็น RV Park ในอุทยาน บอกเลยว่าต้องจองล่วงหน้า หรือคอยดูคิวหลุดเท่านั้นค่ะ 

เราเลือกจองที่ Trailer Village RV Park ($70) ซึ่งเป็น Full Hook Up ความสะดวกสบายครบครัน มีเตาสำหรับย่างปิ้งย่าง แต่เขาให้ใช้ถ่านเท่านั้นห้ามใช้ฟืนค่ะ ป้อมเช็คอินจะเปิดตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น. ถ้ามาหลังจากนี้ต้องไปเชคอินที่ Yavapai Lodge แทนนะคะ 

วิธีการเดินทางท่องเที่ยวในฝั่งของ Sout Rim นั้นง่ายมากๆ เราแค่เอารถไปจอดไว้ที่ Visitor Centre (มีลานจอด RV โดยเฉพาะ) แล้วก็นั่งรถ Shutter Bus ฟรีไปตามจุดชมวิวจุดต่างๆ เส้นทางเขาจะเป็นวงกลม สามารถเที่ยวครบได้ทุกจุดเลย หรือถ้าใครเป็นสายเดิน เขาก็มีเส้นทาง Trekking เลียบป้ายรถบัสไป จะขึ้นรถบัสแล้วลงสลับกับเดินก็ได้นะคะ สะดวกมากๆ 

GRAND CANYON NATIONAL PARK – LAKE POWELL ( 2:30 HRS ) 

มุ่งหน้ากันต่อสู่ Page เมืองเล็กๆ ในรัฐ Arizona ที่วิวระหว่างทางเหมือนขับอยู่บนดาวอังคาร ในตัวเมืองค่อนข้างเจริญเลยค่ะ มีทั้ง Walmart และร้านอาหารต่างๆ เพียบ เราหยุดแวะซื้อของเพิ่มกันอีกสักหน่อย ก่อนขับรถเข้าไปนอนแถว Lake Powell ทะเลสาบฝีมือมนุษย์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำโคโลราโด ครอบคลุมพื้นที่ฝั่งเหนือของ Arizona และฝั่งใต้ของ Utah ตั้งอยู่ใน Glen Canyon National Recreation Area

เราเลือกมาจอดรถบ้านนอนกันที่ Wahweap RV & Campground ($) เป็นแบบ Full Hook Up ตอนมาถึงมืดจนมองไม่เห็นวิวรอบข้าง แต่พอเช้ามาเท่านั้นแหละ โอโห้ววววว สุดยอด! นอนไปเลยสองคืน ข้อเสียของที่นี่คือถ้าจะอาบน้ำต้องหยอดเหรียญเสียเงินนะคะ แต่ยอม เพราะวิวแบบหลักล้านมากกก 

แพลนของเราที่แวะมาเมืองนี้ เพราะอยากมา Anthelpoe Canyon ช่องเขาเล็กๆ แคบๆ สลับซับซ้อนที่เกิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติของน้ำที่เกาะซัดจนเป็นโค้งริ้วๆ สวยงาม ซึ่งจะแบ่งออกเป็น Upper Antelope และ Lower Antelope ความแตกต่างคืออยู่บนดินกับใต้ดิน นักท่องเที่ยวเยอะพอๆ กันแต่ Lower จะไปค่อนข้างลำบากกว่า เพราะต้องใช้บันไดเดินลงไปในช่องเขา ซึ่งทั้งสองที่นี้ สามารถใช้บริการทัวร์ท้องถิ่นพาเข้าชมได้ค่ะ

เราเลือกไป Lower Antelope เพราะอ่านมาว่าสวยกว่า แล้วดั๊นบังเอิญไปเจอกระทู้รีวิวชี้ทางว่าจริงๆ แล้ว เราสามารถพายเรือคายัคไปได้ด้วยนะ แบบว่า experience the canyon a different way งี้ ตาลุกวาววว ในรีวิวเขาซื้อ Kayak Tour ไปแบบมีไกด์ แก๊งค์เราดันห้าวจัด ตัดสินใจไปเองแล้วกัน เพราะอ่านมา(อีกแล้ว) ว่าสามารถเช่าแล้วพายไปเองได้ง่ายๆ 

เรามาถึง Anthelope Point Marina ประมาณสิบเอ็ดโมง จอดรถไว้ข้างบนตรงลานแล้วนั่งรถกอล์ฟลงมาที่ท่าเรือข้างล่าง ได้ความว่าคุณมาช้าไป ตอนนี้คายัคหมดแล้ว เหลือแต่พวกเรือลำเล็กๆ กับเจ็ทสกี… เรือก็ขับไม่เป็น เอาว่ะ งั้นเลือกเจ็ทสกีก็แล้วกัน ราคา Half Day คันละ $245 ไม่รวมค่าน้ำมัน เกินงบขึ้นมาหลายเท่าแต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายมากๆๆๆ เพราะถ้าพายคายัคมา คิดว่าพายไม่ถึงหรือไม่ก็กลับไม่ไหวแน่ๆ ระยะทางดูเหมือนไม่ไกลแค่ตรงไปเลี้ยวซ้าย แต่พอเอาเข้าจริงแล้วก็ไกลเอาเรื่องอยู่นะ ขนาดเราขี่เจ็ทสกียังรู้สึกว่านานเลย ใครที่ฟิตจริงๆ ชอบออกกำลังกายเราว่ารอด แต่แก๊งค์นี้เน้นกินกับนอน ถือว่าโชคดีแล้วค่าที่ได้เจ็ทสกีมาแทน 

สามารถเช็คราคาเช่าเรือและเจ็ทสกี (Personal Watercraft) ได้ ที่นี่ หรือใครไม่อยากพายและขี่เอง แต่อยากนั่งชิลๆ ชมทะเลสาบรอบๆ ไม่ก็เช่าเรือบ้านนอนมันซะเลย เขาก็มี Boat Tour & Boathouse ให้เช่าด้วยนะ ครบเครื่องฟิลแพเธคกาญจนบุรี อิอิ

ระหว่างทางคือคนพายกันเยอะมากกกก ไม่น่ากลัวเลย มีตั้งแต่เรือคายัค เรือยอร์ชเล็กๆ ยัน Paddle Board ที่พายมากับหมา คลื่นมาทีนึงก็ตกน้ำกันทั้งหมาทั้งคน 55555 (ใครมาเจ็ทสกีอย่าซิ่งมากนะคะ เพราะคลื่นมันจะไปทำให้เรือคนอื่นคว่ำได้)

พอพายมาถึงทางตัน มันก็จะเป็นฝั่งให้เราจอดเรือแล้วเดินขึ้นไปยัง Anthelpoe อีกประมาณ 1.5 km เดินง่ายค่ะเป็นทางเดียว ตามนักท่องเที่ยวคนอื่นไปไม่หลงแน่ แก๊งค์เราบุญมีแต่กรรมบังอีกแล้ว วันที่ไปไม่รู้ขี้เลื่อยลอยมาจากไหนเต็มตลิ่ง จนทำให้เอาเจ็ทสกีไปจอดใกล้ๆ ไม่ได้ เพราะกลัวว่าขี้เลื่อยจะไปอุดท่อแล้วสตาร์ทไม่ติด พอจะเขยิบออกมาจอดไกลๆ เหมือนคันอื่น ทั้งสามคันที่เราเช่ามาก็ไม่มีเชือกให้คล้องหินเลย สุดท้ายเลยต้องเอาหน้าเจ็ทสกีเกยไว้กับขอบดิน แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคิดว่ากว่าจะเดินไปกลับคงใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ถึงตอนนั้นเจ็ทสกีเราอาจจะลอยกลับแม่น้ำเจ้าพระยาไปเองแล้วก็ได้ 

เลยตัดสินใจเลือกที่จะให้เพื่อนผู้ชายเฝ้าไว้ แล้วตัวแทนฝ่ายหญิงรีบเดินไปถ่ายรูป สุดท้ายไปได้แค่ครึ่งทาง เพราะกลัวเพื่อนรอนาน ฮือออ แต่เอาเป็นว่าแค่วิวระหว่างทางก็สวยสุดๆ แล้ว ไว้มาแก้ตัวรอบหน้าแล้วกัน ใครที่อยากเห็นรูปว่า Lower Anthelope ของจริงเป็นไง รบกวนเสิร์ชกูเกิ้ลเอากันก่อนนะคะ T-T 

ช่วงเย็นเราขับรถมาต่อที่ Horseshoe Bend (Entrance Fee $10) จุดชมวิวบนหน้าผาสูงชัน ที่ชะโงกหน้ามองลงไปจะเห็นวิวโค้งของแม่น้ำโคโลราโดเป็นรูปเกือกม้า จอดรถไว้ตรงลานแล้วเดินเข้าไปต่ออีกประมาณ 1km คนเยอะมากกกก ตอนถ่ายรูปต้องระวังด้วยนะ เพราะเขามีรั้วกั้นแค่บางส่วน เสียวจริง! 

ใจจริงเราตั้งใจอยากจะไป Lone Rock Beach ด้วย แต่คำนวนเวลาแล้วไม่น่าพอ ซึ่งตรงนั้นสามารถจอดรถบ้านแคมป์ปิ้งได้ด้วยนะคะ วิวสวยมากกกกกๆ แต่จะไม่มีพวกจุดจ่ายน้ำจ่ายไฟไว้บริการ เผื่อใครสนใจอยากไป ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้านะ เพราะมีพื้นที่ค่อนขว้างกว้าง แต่ต้องระหว่างเรื่องรถด้วยเพราะเป็นพื้นทราย

LAKE POWELL – MONUMENT VALLEY ( 2HRS ) 

Monument Valley เป็นอุทยานที่ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองของชนเผ่าพื้นเมือง Navajo ( บัตรอุทยาน Annual Pass ไม่สามารถใช้ได้นะคะ ต้องเสียเงินเพิ่ม 20$) หลังจากผ่านป้อมเก็บเงินไป เราก็จะเจอกับ Visitor Centre ร้านขายของที่ระลึกกับวิวสุดอลังการของเจ้าหินทั้งสามก้อน นางมีชื่อกันด้วยนะ West Mitten Butte, East Mitten Butte และ Merrick Butte ( ขออภัยก่อนไปไม่ได้หาข้อมูล เลยถ่ายติดมาได้แค่สองอันค่ะ แหะๆ)

ถนนเส้นเล็กๆ ที่เราเห็นในรูปเขาเรียกว่า 17-miles loop ค่ะ เป็น Monument Valley Scenic Drive ที่จะผ่านจุดชมวิวชื่อดังต่างๆ ทั้ง 11 จุด แต่เสียใจด้วยค่ะแก๊งค์รถบ้านคุณไม่ได้ไปต่อ เขาเปิดให้เฉพาะรถ SUV ลุยๆ เท่านั้น เพราะเป็นถนนลูกรังทางลำบากเอาเรื่อง หรือบางเดือนก็ไม่เปิดให้ขับรถส่วนตัวเข้าไปเลย ต้องซื้อทัวร์จากไกด์ท้องถิ่นพานั่งรถอุทยานเข้าไปเท่านั้น ราคาเริ่มต้นที่ 60$ – 90$ มีแบบขี่ม้าถ่ายรูปด้วยนะ จะจองล่วงหน้าไปก่อนหรือไปติดต่อเอาแถวลานจอดรถก็ได้ สามารถเช็คข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์อุทยาน navajonationparks.org ได้เลยยย

เรามาจอดรถบ้านนอนกันที่ Goulding’s Resort Rv & Campground ($48) วิวสวยมากกก ใกล้ๆ กับลานจอด มีเส้นทางเดิน Hiking สั้นๆ ที่ชื่อว่า Goulding Arch ระยะทางไปกลับสั้นๆ แค่หหนึ่งกิโลเมตร มาที่นี่แนะนำว่าสิ่งที่ไม่ควรพลาดเลย นั่นก็คือการดู Sunrise & Sunset แสงพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ สาดส่องลงไปบนหินแต่ละก้อน จนทำให้เปลี่ยนเป็นสีส้มทอง มันสวยสะกดตาจริงๆ ค่ะ

ที่อุทยานนี้จะค่อนข้างห่างไกลความเจริญนิดนึง มีร้านขายของชำขนาดกลางๆ อยู่ 2-3 ร้าน แนะนำว่าถ้าใครเดินทางมาแล้วหลายวัน ก่อนมาที่นี่อย่าลืมตุนเสบียงกันให้ครบนะคะ เรามาหาซื้อฟืนเพิ่มกลายเป็นว่าหมดทั้งเมือง ดีที่ยังมีเหลือตุนไว้หน่อย

และอีกหนึ่งจุดยอดฮิตที่พลาดไม่ได้ Forrest Gump Point จุดถ่ายรูปบนถนน Highway 163 ซึ่งเป็นโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายทำภาพยนต์ฉากสำคัญที่ Forrest Gump ตัวละครหลักของเรื่องหยุดวิ่งแล้วพูดว่า “I’m pretty tired… I think I’ll go home now.” เพราะฉะนั้นทุกคนที่หยุดรถจอดถ่ายรูปตรงจุดนี้ จะเก๊กท่าเดียวกันเกือบหมดคือท่าวิ่งค่ะ 55555555 

แอบอันตรายนิดนึงนะ เพราะระหว่างถ่ายรถก็วิ่งสวนกันไปมาปกติ ต้องให้เพื่อนคอยช่วยดูทางไว้ให้ จุดนี้ควรมาเช้าๆ ก่อนเที่ยงค่ะ เพราะไม่งั้นมันจะย้อนแสง ยิ่งเช้าคนยิ่งน้อยด้วย ถ่ายออกมาแล้วจะได้ไม่ติดใคร

MONUMENT VALLEY – MOAB, UTAH ( 2:30HRS ) 

ในที่สุดเราก็ได้ขับรถบ้านเข้าสู่รัฐ Utah กันแบบเต็มตัว (หลังจากวนเวียนอยู่แถวขอบๆ มาสองสามวัน) เราตั้งใจจะมาค้างคืนกันที่ Moab เมืองขนาดกลางๆ ที่พลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวสายแอดเวนเจอร์ เนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างสองอุทยานนั่นก็คือ Aches National Park และ Canyonlands National Park

ตอนแรกตั้งใจว่าจะเก็บทั้งสองอุทยานเลย แต่สุดท้ายเราเลือกไป Aches National Park แค่จุดเดียว แล้วกลับมาเดินเล่นชิลๆ ในตัวเมืองแทน เพราะร้านคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึกในเมืองมีเยอะและน่ารักมากกก มีร้านเนื้อสโมครมควัน ยันร้านอาหารไทยอีก 2-3 ร้านด้วยนะคะ ได้สั่งส้มตำกินก็คือฟินแล้ว หลังจากกินแต่เนื้อ ชีส ขนมปังบนรถบ้านมานาน 

Aches National Park เอกลักษณ์ของที่นี่คือกองหินสีส้มหน้าตาประหลาดที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วอุทยาน มีเส้นทางเดินป่าให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่ยากไปจนถึงง่าย และแน่นอนค่ะ! แก๊งค์เราเลือกง่ายแถมคุ้ม 5555 จัดไปที่เส้นทาง The Windows and Turret Arch เดินรอบเดียวแต่ได้ดูหินทั้งสามก้อน ระยะทางไปกลับ 1 กิโลเมตรถ้วน ( 30-45 นาที )

หรือถ้าใครอยากจะเดินอีกสักหน่อย แนะนำเส้น Delicate Arch เลยค่ะ เป็นเส้นทางเดินป่าชื่อดังของที่นี่ ระยะทางไปกลับประมาณ 5 กิโลเมตร อ่านรีวิวมาว่าเหนื่อยอยู่ แต่วิวสวยเอาเรื่องมากๆ 

MOAB, UTAH – BRYCE CANYON NATIONAL PARK ( 4:20HRS ) 

ออกเดินทางกันต่อ วันนี้นอกจากระยะทางที่ค่อนข้างไกลแล้ว วิวจากข้างหน้าต่างที่เราเห็นเป็นทุ่งหญ้าและก้อนหินสีส้มๆ อยู่ทุกวัน ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปมีสีขาวเข้ามาปกคลุม ใช่ค่ะ! หิมะ! งงมากกก ไม่ได้หาข้อมูลเตรียมตัวกันมาก่อนว่าทริปนี้จะเจอกับหิมะด้วย จากปกติอากาศร้อนๆ แห้งๆ กลายเป็นต้องเปิดฮีตเตอร์ระหว่างขับรถ หยิบผ้าห่มคว้าถุงเท้ามาใส่กันแทบไม่ทัน 

สุดท้ายเราก็เดินทางมาถึง Bryce Canyon National Park อุทยานนี้เรายังคงวนเวียนกับกลุ่มก้อนหินหน้าตาแปลกประหลาดคล้ายหลายๆ อุทยานที่ผ่านมา แต่ที่นี่ไม่ใช่ทรงกลม ริ้ว หรือโค้งเหมือนเคย แต่เป็น ‘แท่ง’ ค่ะทุกคน หินแท่งแหลมยาวเหล่านี้เกิดจากการกัดกร่อนของน้ำฝนกรด รวมถึงอากาศหนาวที่ทำให้น้ำแข็งตัวตอนกลางคืนและละลายในตอนกลางวัน ส่งผลให้กลายเป็นหินแท่งหลากสีทั้งแดง ส้ม และขาวผสมกันอยู่

วิธีการเดินทางเที่ยวในอุทยานช่วงหิมะตกแบบนี้ เราจะต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดแล้วนั่ง Shutter Bus ฟรีเข้าไปแวะตามจุดต่างๆ เอา เราเลือกมาจุดไฮไลท์เลย นั่นก็คือ Nuvajo loop เส้นทางเดินระยะทาง 2.2km แต่ใช้ระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงเพราะว่าเป็นทางที่ค่อยๆ ไล่ระดับลงไป แต่สุดท้ายเดินกันไม่ครบเส้นนะคะ เพราะทางเป็นดินบวกกับมีหิมะทำให้แฉะและลื่นมากกก

เอาเป็นว่างั้นถ่ายแค่วิวก็พอ ซึ่งถือว่าไปถูกช่วงมากๆ เพราะหิมะเพิ่งเริ่มตกทำให้มีสีขาวแซมๆ ตัดกับสีส้ม สวยไปอีกแบบ

BRYCE CANYON NATIONAL PARK – ZION NATIONAL PARK ( 1:30HRS ) 

จาก Bryce มุ่งหน้าสู่ Zion เราจะวิ่งบนทางหลวงหมายเลข 9 (Zion – Mt.Camel Highway) ซึ่งเป็นถนนคดเคี้ยวลัดเลาะขึ้นไปตามภูเขา เข้าสู่เขตอุทยาน Zion National Park ผ่านภูเขารูปถ้วยคว่ำลายตาราง Checkerboard Mesa ก่อนเข้าอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในอเมริกา ( ความยาวเกือบ 2km ) ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานจะปล่อยรถเป็นรอบๆ ให้ขับเข้าไปโดยห้ามหยุด! ต้องเช็คขนาดรถบ้านเราด้วยนะคะ สูงต้องไม่เกิน 3.4m และกว้างไม่เกิน 2.4m

ปากทางเข้าอุโมงค์ มีเส้นทางเดินป่าสั้นๆ ที่ชื่อว่า Canyon Overlook Trail ด้วย สามารถจอดรถไว้แล้วเดินเข้าไปจุดชมวิวบนหน้าผา The Great Arch ได้เลย แต่ว่าที่จอดรถมีจำกัดมากๆ ตอนเราขับผ่านเต็มหมดทุกช่องเลยค่ะ

Zion National Park เป็นอุทยานเก่าแก่ที่สุดประจำรัฐ Utah เราว่าที่นี่เหมาะกับคนที่ชอบการเดินป่า-ปีนเขา เพราะเขามีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติให้เลือกเดินเยอะมากๆ แต่ที่ฮิตสุดขอยกให้กับ The Narrow เส้นทางเดินป่าที่ลัดเลาะไปตามช่องแคบของแม่น้ำ Virgin ซึ่งระหว่างทางเราจะต้องลุยกับแม่น้ำที่มีความสูงแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน อุปกรณ์ต้องพร้อม แต่ถ้าใครไม่ได้พกมาสามารถไปเช่าของอุทยานได้เลย

ส่วนแก๊งค์เราตอนแรกก็ตั้งใจไปเดินเหมือนกัน หาข้อมูลมาไว้เรียบร้อย สุดท้ายคืนนั้นถอยรถบ้านชนกิ่งไม้หลังคาเป็นรูขนาดใหญ่ เช้ามาเลยต้องรีบเอารถไปส่งซ่อมเพื่อให้ประกันตีราคา เลยได้แต่ขับรถชมวิวอยู่ในเขตอุทยาน ยังไม่ได้เข้าไปถึงเส้นหลักเลยค่ะ แต่จะกลับมาอีกแน่นอนนน! 

ZION NATIONAL PARK – VALLEY OF FIRE STATE PARK – LAS VEGAS ( 2:30HRS ) 

ก่อนจบทริปขอแวะโฉบอีกสักหนึ่งพาร์ค ซึ่งขนาดไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็สวยพอสู้ที่อื่นๆ ได้อยู่ กับวิวทิวทัศน์ของหินสีแดงเหมือนเปลวเพลิงที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ลืมความหนาวของสองเมืองก่อนหน้านี้ไปได้เลย เพราะอากาศที่นี่ร้อนตับแล่บมาก ใครจะมาเดินป่าที่นี่เกียมตัวไหม้กันได้เลยค่าาา

ส่วนใครที่เป็นสายถ่ายรูปแบบพวกเรา ขอเชิญจิ้ม 14 Best Valley of Fire Photo Spots เราขับสุ่มๆ แวะหามุมถ่ายรูปนู่นนี่นั่นอยู่ 2-3 ที่ ถึงแม้ว่าแดดจะเปรี้ยงขนาดนี้ แต่ถ่ายรูปที่ถ่ายมา สวยม๊ากกก หินมันสีแดงส้มขึ้นกล้องสุดๆ 

ส่งท้ายทริปของจริงเพราะต้องรีบไปคืนรถบ้านให้ทัน ไหนๆ ก็หลุดมาจากอุทยานป่าเขาธรรมชาติแล้ว ขอจบแบบสวยๆ กับงานศิลปะกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง Seven Magic Mountains เสาหินเจ็ดต้นที่คราวนี้ไม่ใช่แค่หินสีส้มเหมือนวิวที่เราเห็นจนชินตา แต่จัดมันไปเป็นสีรุ้งเลยจ้า ผลงานชิ้นนี้สร้างโดยศิลปินชาวสวิตเซอร์แลนด์ Ugo Rondinone 

ค่าเข้าฟรีนะคะ คนเยอะมากกกๆ เยอะแบบถ่ายไปทางไหนก็เหมือนถ่ายรูปกลุ่มกันไปหมด แนะนำว่าอาจจะต้องมาแต่เช้าค่ะ แต่ว่าสวยจริงๆ นะ อยู่ใกล้เมืองลาสเวกัสด้วย

BUDGET 

ค่าใช้จ่ายหลักๆ คือค่าเช่ารถ / ค่าน้ำมัน / ค่ากิน / ค่าที่พัก / ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยความที่เราไปค่อนข้างหลายวัน เลยไม่ได้จดมาแบบละเอียด สรุปคร่าวๆ คือ ค่าเช่ารถธรรมดาแบบคืนต่างเมืองจะตกอยู่วันละ 6,000+ บาท (ไปกัน 5 คนกัดฟัน เช่าแบบ 7 ที่นั่ง เพราะกระเป๋าแต่ละคนใหญ่มาก) แต่ถ้าใครเช่า-คืนเมืองเดิม ก็จะลดลงเยอะเลยค่ะ 

ส่วนรถบ้าน เช่ามา 10 คืน ยอดรวมแบบยอดเป๊ะๆ คือ $2,145 (รวมประกัน ค่าทำความสะอาด และขับไมล์เกินแล้ว ) หารกัน 6 คน ถือว่าก็คุ้มอยู่นะคะ เพราะค่า RV Park ก็ตกแค่คืนละไม่เกิน $80 แต่เราดันซวยตรงคืนสุดท้าย ขับรถชนกิ่งไม้เลยโดนยึดค่ามัดจำไปอีก $1,500 เพราะแผลค่อนข้างใหญ่ ประกันเลยไม่คลอบคลุมทั้งหมด ทั้งๆที่ซื้อประกันแบบแพงสุดแล้วนะเนี้ย งงเหมือนกัน

TRICK & TIPS 

  • สำหรับคนที่เน้นเที่ยวอุทยานเป็นหลัก เราแนะนำให้ซื้อ America the Beautiful Annual Pass ($80) ติดตัวไว้เลยค่ะ ใบเดียวเที่ยวอุทยานได้ทั่วอเมริกาไม่จำกัดภายใน 1 ปี คุ้มมากๆ แต่ก็จะมีบางที่ที่ไม่รวมนะคะ สามารถเช็คข้อมูลได้ ที่นี่
  • เวลาเติมน้ำมันที่ปั๊มในอเมริกา เราจะต้องเป็นคนลงไปกดตู้เติมเอง ส่วนใหญ่ใช้บัตรเครดิต แต่อยู่ดีๆ บางตู้ก็ใช้ไม่ได้ซะงั้น ต้องไปติดต่อในร้านสะดวกซื้อขอจ่ายเป็นเงินสดแทน
  • ถนนบางเส้นลมค่อนข้างแรง รถบ้านมันโต้ลม ทำให้ส่ายนิดหน่อย ต้องระมัดระวังมากขึ้น
  • รถบ้านขนาดมันใหญ่และสูง ตอนถอยหลังระวังชนนะคะ ดูด้านหลังแล้วอย่าลืมเงยหน้าดูด้านบนด้วย อย่าพลาดชนกิ่งไม้แบบแก๊งค์เรา ค่าเสียหายมันแพงงง
  • ทุกๆ อุทยานเขาจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองเลยค่ะ ข้อมูลครบ ละเอียดและอัพเดตมากๆ เพียงแค่เข้าเว็บ www.nps.gov และใส่ชื่ออุทยานที่เราต้องการลงไป ไม่รู้จะไปแวะจุดไหน กินข้าวยังไง ค่าเข้าเท่าไหร่ มีบอกไว้ครบ!
  • การจองที่พักในอุทยาน ไม่ว่าจะเป็น Tent Campground หรือ RV Park สามารถจองผ่าน Recreation.gov ได้เลย ระบบบ้านเขาล้ำมาก มีรูปแต่ละ site ให้ดูชัดเจน
  • ที่พักในอุทยานจะมีการจอง 2 แบบคือ 1) Advanced Reservation จองล่วงหน้า เคล็ดคือถ้าเต็มก็ค่อยมารีเฟรชดูวันอื่นเรื่อยๆ มันชอบมีหลุดจองโผล่มา กับ 2) First come, first serve ไปก่อนมีสิทธิก่อน พอไปถึง site เขาจะมีแท่งปากกากระดาษให้เขียนจอง
  • ส่วน RV Park นอกอุทยาน ก็เสิร์ชกูเกิ้ลตามชื่อเมืองแล้วจองได้เลย ส่วนใหญ่หลังจองเขาจะส่งให้ในเมลล์ ว่าเราได้จอด site หมายเลขอะไร แต่ถ้าไม่มีบอกตอนเช็คอินเขาก็จะแจ้งเอง
  • ถ้าไปถึงเมืองนั้นดึกแล้วยังไม่มีที่จอดรถบ้าน ให้ลองเสิร์ชเน็ตลานจอดใกล้ๆ แล้วขับรถสุ่มเข้าไปดูก่อน ส่วนใหญ่เคาท์เตอร์เช็คอินจะปิดตั้งแต่ 6 โมง แต่เขาจะมีกระดาษแปะอยู่ ว่ามี site ไหนว่างบ้าง เราก็เขียนชื่อทิ้งไว้ แล้วค่อยมาจ่ายเงินพรุ่งนี้เช้า
  • รถบ้านแต่ละคัน แต่ละแบบระบบอาจจะไม่เหมือน (แต่ส่วนใหญ่เหมือน) ถามเจ้าของดีที่สุด 

ขอให้สนุกกับการเดินทางนะคะ 
ถ้าสงสัยตรงไหน สามารถกทักมาสอบถามได้เลย 🙂

Share the Post:

Related Posts

Land of Mountain and Meadows ‘New Zealand’ : ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์สัมผัสธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่แห่งเกาะใต้

อยากเกิดเป็นแกะที่นิวซีแลนด์ ประโยคนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่ เพราะหลังจากได้ไปเห็นด้วยตาเนื้อมาแล้วน้านนน  บอกเลยว่าถ้าชาติหน้าต้องเกิดเป็นแกะ แพะ วัว หรือเป็ด เราขอปักหมุดโลเคชั่นเป็นที่นี่แล้วกัน ยอมนอนเล็มหญ้าชิลๆ ก่อนโดนเชือด อย่างน้อยถ้าจะขิต

Read More

TEACHER’S DIARY : บันทึก ‘คิดถึงวิทยา’ ครูอาสาบนโรงเรียนเรือนแพ

ช่วงปีก่อนเราอินกับงานอาสามาก พอมีเวลาว่างก็พยายามสมัครไปลองทำนู่นทำนี่อยู่เรื่อยๆ ทั้งฟาร์มสัตว์ โฮสเทล มิวเซียม แต่ไม่เคยลองเป็นครูอาสามาก่อนเลย ความจริงอยากลองนะ ถ้ามันเป็นอาสาแบบใช้แรงงานเนี่ย ถึงไหนถึงกัน แต่พอบอกว่าต้องไปเป็นครู

Read More