Sri Lanka ‘ศรีลังกา’ เราขอยกให้เป็นอีกหนึ่งประเทศในดวงใจ
ที่นึกถึงทีไรก็อยากกลับซ้ำอีกสักรอบสองรอบ เลยอยากมาบอกต่อพร้อมพร้อมเชียร์ให้ทุกคนไปเถอะๆๆๆ
มันดีและสนุกมาก โดยเฉพาะถ้ายิ่งไปแบบ Backpacking ยิ่งมันส์โครต!
11 Days Journey : เราเดินทางเป็นวงกลม ขึ้นเหนือลงใต้ เริ่มตั้งแต่เมือง Negombo – Dambulla – Kandy – Nuwara Eliya – Ella – Udawalawe – Weligma – Galle – Colombo เก็บครบตั้งแต่วิวภูเขา ไร่ชา อากาศหนาวๆ ยันเข้าอุทยานส่องสัตว์ป่า จบท้ายด้วยทะเล ชายหาด และแสงแดด นอกจากจะเที่ยวครั้งเดียวเก็บครบรูทได้ทุกบรรยากาศแล้ว ค่าครองชีพที่นี่ก็ถูกมาก คนศรีลังกาที่เราเจอล้วนแต่ใจดีและน่ารักสุดๆ แต่แอบติดนิดนึงตรงพวกอาหารการกิน ที่ส่วนใหญ่จะเอนไปทางมังสาวิรัต เช่น แกงกล้วย แกงมะม่วง มะพร้าวอะไรแบบนี้ พอกินได้แต่ไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่
แต่อย่างอื่นผ่านฉลุย ที่สำคัญ! ถ่ายรูปสวยมากกกกกๆ
เอาไปเต็มสิบคะแนนสำหรับประเทศ ‘ศรีลังกา’ 🙂
DAY 1
จากไทยใช้เวลาบินแค่ 3 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึง Colombo Airport (CMB) สนามบินจะตั้งอยู่ที่เมือง Negombo นะคะ ห่างจากตัวเมืองหลวง Colombo เกือบ 40 นาที เพราะฉะนั้นเราจะไม่ย้อนกลับเข้าไปในเมืองให้เสียเวลา ลงเครื่องแล้วก็มุ่งหน้าสู่เมือง ‘ดัมบูลลา’ (Dambulla) กันโลด ถ้าใครมาน้อยคนอยากประหยัด จะค่อยๆ ต่อรถบัสไปก็ได้ แต่ด้วยความที่เรามากันสี่หน่อ ก็เลยติดต่อรถมินิแวนจากที่พักให้มารับล่วงหน้าไว้แล้วในราคา 9,000 LKR
( Negombo - Dambulla : เวอร์ชั่นนั่งรถบัส ต้องต่อรถประมาณ 3 ต่อ ใช้เวลาเกือบๆ 5 ชั่วโมงได้แหนะ ลองดูข้อมูลจาก เว็บนี้ นะคะ ถ้าใครมีเวลาเน้นประหยัดอยากจะนั่งรถบัส เราแนะนำให้แวะนอน Pinnawala สักหนึ่งคืนก็ได้ เมืองนี้นักท่องเที่ยวชอบมาดูช้างอาบน้ำที่ลำธารกัน )
และแล้วทางที่พักก็ส่ง ‘วิน ดีเซล’ สาขาศรีลังกามาให้เรา คนขับรถเท้าไฟซิ่งนรกแตก ซ้ายว่างเป็นปาด ขวาโล่งเป็นเสียบ ตอนแรกกะมารีวิวแล้วว่าคนศรีลังกาเขาขับรถกันดุเดือดมากๆ แต่จากที่ดูทั้งถนนมีมันคันเดียวนี่แหละที่ขับแบบนี้!!! แล้วมีนาทีชีวิตที่พี่แกดั๊นไปปาดหน้ารถบรรทุก คันนั้นก็ไม่ยอมเร่งเครื่องตามพร้อมบีบแตร มันก็หนีๆๆ ปาดๆๆๆ พอหนีพ้นปุ๊บ…
รถ! ยาง! แตก! โธ่เอ๊ยยย ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้ อยากถามมันคำเดียวเลยว่า เมิงจะรีบเพื่ออออ? สุดท้ายเราก็ต้องลงจากรถมารอพี่แกเปลี่ยนยาง เลยมีเวลาแว๊บเดินไปร้านขนมปังนั่งจิบชา ถือว่าเริ่มต้นทริปศรีลังกามาได้เยี่ยมยอดมากค่ะ เปิดตัวมาหยั่งกะ Fast & Furious 10
เกือบ 4 ชั่วโมงรถก็มาส่งเราที่ Wish Prabha Lake View Lodge เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ ที่ค่อนข้างห่างไกลจากถนน แต่โชคดีที่มีบ่อน้ำใหญ่ให้เดินเล่นหลังบ้าน Kumara เจ้าของโรงแรม พร้อมเมีย ลูก ป้า หลาน (เรียกได้ว่าทั้งครอบครัว) ออกมายืนต้อนรับเรา พร้อมกับให้เด็กๆ เอาดอกไม้มาให้ แถมมีชาขิงร้อนๆ กาใหญ่และคุกกี้ไว้คอยบริการ
ตอนเย็นเราก็ฝากท้องไว้ที่นี่แหล่ะ เสียเงินเพิ่มนิดหน่อย แต่ได้ลองไปช่วยเขาทำอาหารเล็กๆน้อยๆ ก็สนุกไปอีกแบบ เราว่าถ้าใครไม่ได้มีแพลนอยากอยู่ริมถนนเดินไปนู่นไปนี่ได้ (เอาจริงมันก็ไม่ค่อยที่เที่ยวที่เดินไปได้ขนาดนั้นซะเท่าไหร่) แนะนำที่นี่เลยค่ะ ห้องดี แอร์เย็น สะอาด ต้อนรับกันอบอุ่นมากๆ
DAY 2
พอถึงเวลาตี 4 รถตุ๊กตุ๊กก็มาบีบแตรปิ๊นๆ อยู่หน้าห้องพัก เพราะเรานัดเอาไว้ให้เขาไปส่งและรอรับระหว่างที่เราเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา ‘Pidulangara’ ถ้าใส่ขาสั้นเตรียมผ้าถุงมาด้วยนะคะ เพราะภูเขาลูกนี้อยู่ในเขตวัดกฎเขาก็จะเคร่งหน่อย แถมตอนเช้าไม่มีแม่ค้ามายื่นผ้าถุงให้เช่าด้วย
ทางเดินเป็นบันได ขึ้น ขึ้น ขึ้นอย่างเดียว! ระยะทางไม่ได้ไกลมาก แต่ด้วยความกลัวว่าจะไปไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น ทำให้ต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ข้าวเช้าก็รองท้องมาเบาๆ แว๊บนึงเกือบเป็นลม พอจะถึงยอดก็ดันมีอุปสรรคเป็นหินก้อนเบิ้มที่ต้องปีนขึ้นไปอีก เล่นเอาผ้าถุงขาดเลยทีเดียว ทุลักทุเลเอาเรื่อง 55555
แต่พอขึ้นมาถึงข้างบนแล้วเนี่ย บอกเลยว่าอ้าปากค้าง! ลืมไปเลยว่าเคยเหนื่อยแทบตาย เพราะวิวรอบตัวมันสวยมากกกก และคนก็เยอะมากๆ ด้วยเช่นกัน แต่โมเม้นต์ตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นเนี่ย นั่งกันเงียบกริบ ต่างคนต่างซึมซับบรรยากาศ ฟิลกู๊ดดดมาก~
ฝั่งตรงข้ามจะเป็นวิว Lion’s Rock พระราชวังลอยฟ้า จริงๆ ใครจะเลือกไปเดินขึ้นหินก้อนนู้นก็ได้นะคะ น่าจะสวยเหมือนกัน แต่เขาเปิดแปดโมงเช้า เรามาอันนี้เพราะมีเวลาน้อย และที่สำคัญค่าเข้าถูกกว่าสิบเท่า อันนี่ 3$ อันนั้น 30$ แหนะ เราใช้เวลาอยู่ข้างบนนี้กันเกือบชั่วโมง บรรยากาศมันชิลจริง มองเห็นเมืองได้ทั้งเมืองเลย
กลับมาที่พักนอนต่อสักหน่อย แล้วก็เดินทางไปเมือง ‘แคนดี้’ (Kandy) กันต่อทันที เราเรียกตุ๊กตุ๊กให้ไปส่งที่ป้ายรถบัสในเมือง Dambulla ราคา 1,000 LKR ต่อคัน ถึงปุ๊บเอาเป้ไว้หลังรถเสร็จ รถก็ออกเลยทันที สภาพเหมือนรถเมล์บ้านเราเปี๊ยบ ไม่มีแอร์ เป็นเบาะที่นั่งสามกับสองแถว
ขับหวานเย็นไปเรื่อยๆ สัก 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงจุดหมาย เราดูแผนที่ให้รถบัสขับไปใกล้ Kandy Railway Station มากที่สุดแล้วค่อยกดกริ่งขอลง เนื่องจากเราจะแวะซื้อตั๋วรถไฟ Kandy – Nuwara Eliya สำหรับวันพรุ่งนี้กันก่อนแล้วค่อยไปที่พัก ด้วยความงกอ่ะเนาะเลยถ่อมาซื้อเองถึงสถานี ชั้นต้องได้ตั๋วราคาจริงไม่มีบวกเท่านั้น! สรุปตั๋วหมดแล้วให้ลองมาใหม่พรุ่งนี้แต่เช้าเผื่อมีหลุด…
ผิดแผนไปหนึ่งกรุบ ไม่รู้ทำไงต่อ งั้นกลับไปตั้งหลักที่ Kandy Backpackers Hostel ที่พักของเราคืนนี้ก่อนแล้วกัน โลเคชั่นไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง แต่ฟรี! Cooking Class และมื้อเย็น เลยกดจองไปแบบไม่คิด 5555 แต่เขามีรถตุ๊กตุ๊กแสตนด์บายไว้ตลอดเวลานะถ้าจะลงไปในเมือง
Dini กับ Rini พนักงานที่โฮสเทลแนะนำเราว่า รถไฟจาก Kandy – Nuwara Eliya คนค่อนข้างเยอะ ต่อให้ไปแต่เช้าแล้วก็อาจจะไม่มีที่นั่งก็ได้ ลองเปลี่ยนแพลนเหมารถไปแทนมั้ย แล้วค่อยไปเก็บบรรยากาศบนรถไฟระหว่างทางจาก Nuwara Eliya – Ella แทนก็ได้วิวไม่ต่างกันมาก
แถมประหยัดเวลากว่า แล้วก็ระหว่างทางหยุดเที่ยวน้ำตก แวะดูโรงงานผลิตชาได้ด้วย ตอนแรกก็แอบลังเลนิดนึง แต่มาคิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าให้นั่งรถไฟตลอดเส้นทาง Kandy – Nuwara Eliya – Ella รวมๆ แล้ว 7 ชั่วโมงรวด คงแอบเบื่อแน่ๆ
หลังจากเคลียร์แพลนวันพรุ่งนี้จบ ช่วงเย็นเราก็ลงมาเที่ยวในเมืองแคนดี้กันต่อ บรรยากาศ ตึกสถาปัตยกรรมต่างๆ ของเมืองนี้น่ารักสมชื่อ เมืองนี้ UNESCO ยกให้เป็นเมืองมรดกโลกด้วยนะคะ
เราเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆ ทะเลสาบใจกลางเมือง แวะดู ‘ระบำพื้นเมืองของชาวแคนดี้’ Kandyan Dance (1,000LKR) และก็เข้าไปชมความศักดิ์สิทธิ ณ ‘วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว’ Temple of the Sacred Tooth (1,500LKR)ซึ่งภายในมีพระทันต์ (ฟัน) ของพระพุทธเจ้าบรรจุเอาไว้ ตัววัดสวยงามและอลังการมากๆ ก่อนเข้าจะมีคนตรวจเข้มงวดมากๆ ต้องแต่งตัวให้สุภาพและถอดรองเท้าเดินตั้งแต่ทางเข้า