เสน่ห์ของแม่กลางหลวง คงหนีไม่พ้นวิวทุ่งนาขั้นบันได ต้นข้าวที่เขียวขจีท่ามกลางหุบเขาแบบสามร้อยหกสิบองศา มองไปทางไหนก็เจอแต่สีเขียว เห้ยยยแต่เดี๋ยวก่อน นั่นมันเฉพาะช่วงกันยายนจนถึงตุลาคม หน้าเทศกาลเท่าน้านนที่ชาวบ้านเขาจะเริ่มปลูกข้าวกัน
เอ้า แล้วถ้าไม่ว่างช่วงนั้นละทำไง คนเยอะอ่ะไม่อยากไป ไม่ต้องห่วง! วันนี้เราจะเอาแม่กลางหลวงอีกมุมหนึ่งมานำเสนอ มุมที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล มุมที่มีแก๊งค์พี่ควายมาเดินเล็มหญ้าแทนนาขั้นบันไดเขียวๆ มุมที่สงบมาก หยั่งกะสถานที่ส่วนตัว แล้วจะรู้ว่าแม่กลางหลวงไม่ได้น่าเที่ยวแค่ช่วงเทศกาลนะจ๊ะ
เราพักที่ แม่กลางหลวง ฮิลล์ ที่นี่มีบ้านให้เลือกหลายแบบ ตามจำนวนคนและตามวิวทิวทัศน์ เราเลือกบ้านหลังใหญ่ที่ชื่อว่าบ้านริมธาร ตามชื่อเค้าแหละก็มีลำธารอยู่ติดหลังบ้าน เผลอๆโชคดีหน่อยก็จะมีเจ้าควายเดินลงมาเล่นน้ำกันให้ดูถึงระเบียงบ้านเลย เสียงกระดิ่งที่คอนางก็จะดังป๋องแป๋งๆๆ แว่วมาแต่ไกล ถ้ามันเริ่มมาใกล้เกินไป ชาวบ้านจะรีบเอาไม้มาไล่ๆ ให้กลับไปถิ่นเดิม
จากบ้านพัก ใกล้ๆจะมีร้านกาแฟที่ชื่อว่ าร้านอุ่มเอิบ ตั้งอยู่ โอ้โหหหหห นอนดูควายฟังเสียงกระดิ่งอยู่ที่ระเบียงบ้านว่าชิวแล้ว ตรงนี้ชิวกว่า คิดภาพตาม นอนเปลกินแอปเปิ้ลโซดา ดูควายกินหญ้า พร้อมกับฟังเพลงเทย์เลอร์ สวิฟต์ที่ร้านเปิด อารมณ์โครตตตได้
ตรงร้านกาแฟมีสะพานไม้ไผ่ด้วย (แบบไม้ไผ่จริงๆ เป็นท่อนๆวางพาด) ให้ข้ามไปอีกฝั่งตรงสวนที่ปลูกดอกดาวเรือง ตรงนั้นเราก็จะได้วิวน้องควายกับสวนดอกดาวเหลือง ส่วนสายรักน้ำรักปลาไอ้ตรงลำธารข้างๆปลาชุมมากกก ที่ร้านมีอาหารปลาขายพร้อม!
นอกจากควายแล้ว ที่นี่หมาก็เยอะไม่แพ้กัน มากันเป็นล่ำเป็นสัน เปิดประตูห้องนอนออกมานอนแอ้งแม้งกันอยู่ 2-3 ตัว จะไปไหนก็เดินตาม นี่มาร้านกาแฟก็ตาม อ๊ะ แต่ไม่เป็นไร น้องน่าร๊ากกกกก รักน้องง
โอเค เบื่อแล้วนั่งชิล เราออกไปแอดเวนเจอร์โลดโผนกันบ้างงงงเนอะ
โปรแกรมต่อไปเป็นการเดินป่าไปน้ำตกที่เป็นซิกเนเจอร์ของแม่กลางหลวง นั่นก็คืออออ น้ำตกรักจัง หรือ น้ำตกผาดอกเสี้ยว ระยะทางการเดินจิ๊บๆไปกลับแค่ 4 กิโล (หรอ)
วิธีการไปคือบอกพี่เจ้าของที่พักได้เลย เดี๋ยวสักพักจะมีชาวบ้านขับรถไปส่งเราที่จุดเริ่มเดิน และเดินนำพาเราไปน้ำตก ราคาก็เหมาเลยนี่ไป 7 คน เสียค่าคนเดินนำ 200 บาท และค่ารถ 200 บาท ความประทับใจนั้นนนเกินเงินที่จ่ายไปมากกกกก
ชาวบ้านแถวนี้เป็นชาวปกาเญอค่ะ รวมไปถึงพี่ที่พาเราเดินป่าด้วย เส้นทางการเดินไม่โลดโผนมากนัก จะเป็นทางเดินลงสลับกับทางเรียบซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีเนินชันมากเท่าไหร่ แต่เห็นแบบนี้อีทางลงนี่ละตัวดี เข่าถึงกับสั่น
การเดินไปน้ำตกนี่ไม่ใช่ไปปุ๊ป ถึงน้ำตกตู้มวิวอลังการช็อตเดียว จบ เดินกลับ แต่จะแบ่งออกเป็น 2-3 ช่วงค่ะ คือวิวมันก็จะต่างกันไล่ตั้งแต่ข้างบน ลงมาข้างล่าง ถือว่าได้แวะพักไปด้วยในตัว
ละเราก็เดินๆๆๆๆๆต่อ พร้อมกับข้อเข่าที่สั่นสะท้าน หยุดทีสั่นไปทั้งขา คิดว่าแผ่นดินไหวเดินๆๆ ถ่ายรูปๆๆ เข่าสั่นๆๆๆ เดินๆๆๆๆๆ หอบๆๆๆ
และก็มาถึงช็อตที่สอง ขอพักเหนื่อยบ้างอะไรบ้าง
และเราก็เดินลงกันต่อ โอเคทางชัน แต่ชาวบ้านมีการทำบันไดและราวจับอำนวยความสะดวกสบาย
ผ่อนแรงและป้องกันการก้าวไถลได้ขึ้นมาบ้าง คราวนี้เราเดินลงกันยาวๆ เพราะจะไปถึงน้ำตกตรงโซนที่เขาฮิตๆกันละ
เอ้าฮึบ!
และในที่สุด สะพานนั่นที่เห็นมาจากอินเทอร์เน็ต วิ่งปรี่มาก
น้ำตกนี่น้ำเยอะผิดคาดเลย สวยมากกกกก อ่ะว่าแล้วก็จัดไปสัก 200 รูป
อย่าลืมไปแอ๊บนั่งบนสะพาน แล้วบังคับให้เพื่อนเดินฝ่าโขดหินลื่นๆ ไปถ่ายรูปเรากับแบล็คกราวน์น้ำตกข้างหลังเหมือนในหนังนะะะะ
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาเดินกลับ แต่เราไม่ได้เดินย้อนขึ้นไปทางเดิมนะ ขากลับเราจะเดินไปทางหมู่บ้านแล้วก็ทะลุกลับไปยังที่พักเราได้เลย น้ำตกก็ว่าพีคแล้ว ทางเดินกลับก็สวยยยยยไม่แพ้กัน
เมื่อกี้เราเดินอยู่ในป่า คราวนี้ก็ออกจากป่ามาเดินผ่านสวน ผ่านไร่ชาวบ้านกันบ้าง ระหว่างทางก็จะเจอกับนาขั้นบันไดที่ชาวบ้านเริ่มปลูก พอจะเห็นความเขียวเล็กๆบ้าง เรียงรายกันเป็นขั้นบันได นี่ขนาดต้นข้าวยังไม่สูงนะ ยังสวยขนาดนี้
ยัง ยังไม่จบ หลังจากเราเดินใกล้จะถึงที่พัก เราจะต้องผ่านหมู่บ้านชาวเขากันก่อน ที่นี้ชาวบ้านจะออกมาชงกาแฟดำให้เราดื่มกันสดๆ เหมือนเป็นจุดนั่งพัก ก่อนที่จะเดินไปต่อยังที่พัก ที่สำคัญนอกจากอร่อยแล้ว ยังฟรี!
กาแฟดำร้อนๆหลังจากเดินป่าเหนื่อยๆเสร็จ มันดูไม่เข้ากันเลย แต่คือต้องมาลอง เข้ากันมากกกกก ลืมเหนื่อยเลย
แต่ถ้าใครชอบมาก เขาก็มีแพ็คเป็นถุงๆไว้ขาย ซื้อกลับไปชงเองที่บ้านก็ได้ สังเกตุคุณป้าคนชงนะ น่ารักกกกมากก นี่แค่ออกมาชงกาแฟชุดอยู่บ้านนะ สร้อยเอย ต่างหู พร๊อพเยอะพร๊อพแน่นมากกก ยอมค่าาา
จบท้ายด้วยบรรยากาศรอบๆที่นั่งเราไปนั่งพักกินกาแฟ ตอนแรกก็ว่าไก่กับหมาเยอะละนะ เจอแก๊งค์ลูกหมูดำเข้าไป เป็นฝูงงง น่ารักมาก 555555555
✿ เพิ่มเติมอีกนิด
เราไปช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เริ่มเข้าหน้าฝนนิดๆ อย่างที่บอกไปว่าบ้านพักไม่มีแอร์ เพื่อใครสงสัยอากาศตอนกลางคืนเนี่ยไม่ได้ร้อนมาก พอนอนได้เพราะมันอยู่บนดอยอินทนนท์ด้วย ส่วนกลางวันก็จะมีแดดเป็นช่วงๆแต่ลมพัดพัดเย็นสบาย
อีกเรื่องคืออาหาร เนื่องจากไม่ใช่หน้าเทศกาล ร้านค้าแถวที่พักเลยไม่ค่อยเปิด คนมันน้อยชาวบ้านเขาก็เลยไปทำไร่ทำสวนกันเนอะ แต่ไม่ต้องห่วงขับรถออกมาจากที่พักประมาณ 5 กิโลเมตร จะเจอตลาดชาวบ้านแถวที่ทำการอุทยาน มีร้านอาหารด้วยประมาณ 4-5 ร้าน ร้านลุงคนนึงที่ขายไก่ย่าง มีลูกหมาน่ารักมากกก เพื่อใครอยากเลี้ยงเขาบอกมาว่า ใครอยากได้มาเอาได้นะ เพราะคนอื่นมาเอาเพื่อนมันไปหมดแล้ว ดูมันเหงาเห็นเล่นแต่กับไก่กับแมว 555555 (ยืมมอไซต์ที่พักออกมาก็ได้)