จะเป็นอย่างไร ถ้าเราได้ลองใช้ชีวิตเหมือนชาวบ้านในชุมชน
จะเป็นอย่างไร ถ้าที่พักและอาหารเป็นมากกว่านั้น
และจะเป็นอย่างไร ถ้าเราได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับการท่องเที่ยว
วันนี้เราจะพาทุกคนเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม
ไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวลาหู่ และเรียนรู้ความเป็นมาของชาวไทใหญ่
ที่ บ้านจ่าโบ่ และ บ้านแม่ละนา อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอนกัน
มาๆอย่าลืมหยิบกล้อง ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น แบกกระเป๋าให้พร้อม
และสุดท้ายอย่าลืมเปิดใจ มาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆไปพร้อมกัน
แต่ก่อนจะไปเอาคลิปสั้นๆ มายั่วก่อนค่ะ : P
:: สัมผัสวิถีลาหู่ บ้านจ่าโบ่ ::
DAY1
ชุมชนบ้านจ่าโบ่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆของชาวลาหู่ หรืออีกชื่อคือมูเซอดำนั่นเอง
ชื่อหมู่บ้านมาจาก ชื่อของผู้นำที่ชื่อว่า จ่าโบ่ ไพรเนติธรรมค่ะ ที่หมู่บ้านนี้ผู้ชายจะถูกเรียกชื่อนำหน้าด้วยจ่า
ส่วนผู้หญิงก็จะนำด้วยนา เช่น จ่าคือ จ่ายอ นากอ เป็นต้น
หลังจากเรากล่าว อาบูดะย่า คำพูดทักทายและขอบคุณในแบบฉบับของชาวลาหู่และนั่งฟังประวัติความเป็นมาของชุมชนแล้ว เราก็แยกย้ายกันแบกกระเป๋าเดินตามชาวบ้านผู้โชคดี (รึเปล่า) ที่ได้รับพวกเราไปเป็นแขกของบ้านกันค่ะ
ด้วยความที่บ้านจ่าโบ่ (รวมถึงบ้านแม่ละนาด้วย)
เป็นการท่องเที่ยวโดยชุมชนเนอะ เพราะฉะนั้นบ้านที่เราจะได้ไปพักกันเนี่ย ก็จะเป็นบ้านของชาวลาหู่จริงๆ
เขาอยู่ยังไง อยู่แบบไหน เราก็จะได้อยู่แบบนั้นด้วยเลย
บ้านแต่ละหลัง โฮสต์แต่ละคนที่รอต้อนรับเราอยู่ก็จะแตกต่างกันไปค่ะ
แต่รับรองว่าบ้านเนี่ยวิวสวยทุกหลังแน่นอน
บ้านที่เราได้คือบ้านของพี่นาทะกอน หรือพี่ผึ้ง
บ้านขนาดกะทัดรัด ที่มีสมาชิกคือแฟนพี่ผึ้ง แม่พี่ผึ้ง แมวสองตัวที่คอยป้วนเปี้ยนตอนกินข้าว และเด็กน้อยวัยสามขวบลูกพี่ผึ้ง ‘เอมมี่’
ที่ชอบไปนั่งเล่นอยู่บ้านตรงข้าม มากกว่าบ้านตัวเอง ตอนเย็นๆกับเช้าๆเท่านั้นถึงจะได้เห็นหน้าน้องค่ะ 55555555
เข้าบ้านไปไม่ทันไร พี่ผึ้งกับแม่แกก็ขนเกี๊ยะมาจุดเตา เด็ดผัก หุงข้าว
เตรียมพร้อมสำหรับการทำอาหารเย็นให้พวกเรากินเลย
ช่วยแม่พี่ผึ้งเด็ดผักสักพัก เราก็ขอแว๊บออกมาเดินดูวิวข้างนอกกันสักหน่อย
แน่นอนนนนนน พลาดไปไม่ได้กับจุดชมวิวไฮไลท์ของที่นี่ ร้านก๋วยเตี๊ยวห้อยขา
ที่ที่เขาบอกว่าราคาหลักร้อย วิวหลักล้าน
ก๋วยเตี๊ยวไว้วันหลังเพราะร้านปิดแล้ว
เพราะฉะนั้นขอเสพย์ธรรมชาติกับวิวเขียวๆแบบ 180 องศากันก่อน
หลังจากนั้นเราก็กลับบ้านไปกินข้าวเย็นกัน
อาหารก็จะแล้วแต่วันค่ะ บางวันก็มีพวกต้มจืดผัก ที่ผักนุ่มมมมมากกกก
แบบเข้าปากปุ๊ป ละลายหายไปเลยทีเดียว ผัดยอดมะระบ้าง ผัดผักป่าแปลกๆบ้าง แต่คืออร่อยนะ
บ้านเราอาหารยืนพื้นเลยที่ทุกมื้อต้องมีคือ ไข่เจียว กับน้ำพริกมูเซอ
ส่วนที่นอน เราไปช่วงหน้าฝนอากาศตอนกลางคืนก็เย็นสบายค่ะ ไม่หนาวไม่ร้อน
อ่ออ สำหรับใครสายโซเชียลนะ ที่นี่ไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์เข้าถึงจ้า
DAY2
วันนี้ตื่นกันตั้งแต่หกโมงเช้า ตั้งสติได้ก็รีบเดินออกไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเลย
กะว่าต้องได้แสงสวยๆกลับไปแน่ แต่ปรากฎว่าเมื่อคืนฝนตกค่ะ อื้อหื้อออออ หมอกนี่หนาซะ
อย่าว่าแต่พระอาทิตย์เลย ภูเขาลูกที่เราเห็นเมื่อวานเย็นนี่ก็ไม่โผล่มาค่ะ
นั่งรอเกือบเจ็ดโมงครึ่งก็ต้องยอมแพ้ หมอกไม่ลดละซะที
สุดท้ายก็ต้องเดินกลับบ้านไปอาบน้ำ รอเตรียมตัวไปเดินป่ากัน
เดินป่าวันนี้ระยะทางรวมแล้วประมาณเจ็ดกิโลค่ะ เราจะเดินผ่านไร่ข้าวโพด สวนของชาวบ้าน
และไฮไลท์ที่สุดเลยคือถ้ำผีแมน การเตรียมตัวมาเดินป่าที่นี่ แนะนำให้ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว
ป้องกันบุ้ง กันใบข้าวโพดข้างทาง ที่พร้อมจะข่วนเราทุกเมื่อ
ส่วนรองเท้า หน้าฝนแบบนี้พูดเลยว่า คีนก็เอาไม่อยู่ ชาโคลหรออย่าหวัง
สตั๊ดดอยเหมาะสุดแล้ว เอาถ้วยไปเลย นี่ใส่คีนเดิน ไม่ถึงกิโลลื่นไปสองสามรอบ (แต่อันนี้รองเท้าลื่นเป็นแค่ส่วนประกอบที่เหลือโง่เอง) ร้านขายของที่หมู่บ้านมีขายนะจ้ะ
ระหว่างทางไกด์ก็จะแนะนำไปเรื่อยค่ะ อันนี้ต้นอะไร กินได้มั้ย เอาไว้ทำอะไร
ทริปนี้เราไปกันหลายคนค่ะ ไกด์ที่มาช่วยนำทางนี่ก็หลายคนไปด้วยเหมือนกันนน
แต่เราจะขอแนะนำทุกคนให้รู้จักกับ จ่าคือ ไกด์ผู้ที่มีความกวนตินโดดเด่นแซงหน้าออกมาจากเหล่าเพื่อนไกด์คนอื่นๆ
ประหนึ่งเหมือนเป็นความสามารถของมันยังไงอย่างงั้นอ่ะค่ะ
เจอมันครั้งแรกตอนเลือกซื้อกระเป๋าอยู่ในหมู่บ้าน
มันขับมอไซต์ผ่านพร้อมตะโกนบอกว่า ‘สวยจังเลยยยยยยยย……. กระเป๋าอะ’
…………….
………
ตอนนั้นคือแบบ เดี๋ยวๆๆๆๆๆเมิงคือใคร…เมิงมานี่ เมิงขับมอไซต์วนกลับมานี่เดี๋ยวนี้!!!!
จนในที่สุดมันก็กลับมา ในรูปแบบไกด์นำเดินป่า 555555555
อ่ะ กลับมาเดินป่ากันต่อ เดินมาเรื่อยๆ (เหมือนจะชิว แต่ไมมมมมมม่นะ)
เราก็จะมาถึงจุดแวะพักครึ่งทาง เล้าหมูดำของชาวบ้าน
ก่อนจะถึงเล้าหมู อย่ามัวแต่มองข้างทางนะระวังขี้หมูกันด้วย เพราะนอกจากหมูที่ขี้ในเล้าแล้ว
เจ้าหมูบางตัวที่รักอิสระ นางก็จะชอบออกมาขี้ตามทางเดินกันเยอะ
หรือจะลองเหยียบดูก็ได้เนอะ ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์งี้
ดู๊ๆๆๆ นี่มันไม่ใช่แค่จุดพักธรรมดา วิวมันอลังมาก
ดูสายหมอกตรงนั้นที่เคลื่อนตัวผ่านช่องเขามาสิโอ้ยยยยย
จุดนี้คือลืมไปแล้ว ว่าเดินมาเหนื่อยมาก
อิจฉาหมูเลย
หลังจากพักกันจนเมมเต็ม เอ้ยไม่ใช่ หายเหนื่อยแล้ววว!
เราก็ออกเดินกันต่อค่ะ เส้นทางต่อจากนี้เราจะเดินลงไปแวะพักกินข้าวที่กระท่อมข้างล่างกันก่อน
เฮ้ รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที ระหว่างทางเดินลงสวยไม่แพ้กับวิวข้างบนเลย
แต่ต้องเดินดีๆค่ะ เพราะเส้นที่เราเดินผ่าน พื้นที่บางส่วนก็เป็นไร่เป็นสวนของชาวบ้านด้วย
เพราะฉะนั้นต้องระวังอย่าไปเหยียบกับต้นอ่อนของพืชผักด้วย
ไกด์ดีเด่นอย่างจ่าคือ เขาก็ไม่นิ่งดูดายนะจ้ะ คอยดูแลอย่างดี๊ ทำเสียงเหมือนไล่หมู ไล่หมา
ทั้งๆที่ตรงนั้นมันไม่มีหมูหมาสักตัว มีแต่พวกเราเนี่ยยที่เดินอยู่ เสียงไม่พอนะ แอ็คติ้งนางก็มาเต็มมม
สะบัดไม้สะบัดมือ เอามีดเอาไม้มาไล่ โถถๆๆๆๆๆ
และนี่คือโฉมหน้า จ่าคือ
ช็อตตอนถ่ายนี่น่าจะเป็นตอนที่จ่าคือกำลังโม้อะไรอยู่สักอย่าง
แล้วโดนถามว่า ใคร จ่าคือก็รีบตอบกลับมาเล้ย ผมไง ผมเอง ผมนี่แหละ
สรุป ใครถาม…..
ถึงหน้าชายหนุ่มผู้นี้ จะกำลังยิ้มแย้มและหัวเราะร่วนอยู่นั้น แต่ถ้ากล้องแพลนไปที่มือของเขา
น่าจะอารมณ์ประมาณกำหมัดแน่น ไม่ก็จิกแขนตัวเอง เก็บความแค้นรอไประเบิดที่ถ้ำผีแมนอยู่555555
ระหว่างทางไม่มีแล้วนะต้นข้าวโพด โล่งเตียนน
อีกหนึ่งฮึบก่อนได้ลงไปกินข้าว ระหว่างเดินไปเราก็จะเห็นชาวบ้านเดินแบกอาหารใส่หลัง
มาจากอีกฝั่งนึงของหมู่บ้านอยู่ไกลๆค่ะ นั่นแปลว่า รีบเดินเถอะ จะได้รีบลงไปกิน 55555
กับข้าวกลางป่าวันนี้ ขอนำเสนอ
ไก่ย่างตามสไตล์ลาหู่ น้ำพริกมูเซอ ผัดวุ้นเส้นที่ใส่หน่อไม้ แลผัดซาโยเต้
พี่ผึ้งของเราก็ตามมาทำกับข้าวด้วยยยย
ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เพราะอยู่กลางป่าเลยกินอะไรก็อร่อย
แต่มันอร่อยยยยจริงๆ
หลังจากจัดไปคนละสองจาน กลับมาสู่การเดินเหมือนเดิม
จุดหมายปลายทางข้างหน้าคือถ้ำผีแมน ดู ดูๆๆทางเดิน ขึ้นสุด
แต่ก่อนเราจะขึ้น เราเลี้ยวขวาไปเข้าถ้ำกันก่อนน
ถ้ำผีแมน คือถ้ำที่มีโลงศพไม้อายุมากกว่า 2,000 ปีอยู่ด้านในค่ะ
อธิบายกันแบบง่ายๆเลยก็คือ ถ้ำเนี้ยอยู่บนหน้าผาที่สูงและชันมาก ส่วนโลงไม้ที่เป็นวัฒนธรรมการฝังศพของ
กลุ่มคนที่เรียกว่าผีแมน มีลักษณะเป็นไม้ซุงท่อนใหญ่ และยาว
เน้นเลยนะว่าเป็นท่อน ไม่ใช่ไม้เศษๆที่ขนแล้วไปต่อกันข้างใน คือขนกันไปได้ยังไงงงงง
ขนาดเดินขึ้นไปเฉยๆยังลำบากเลยค่ะ จากการสันนิษฐานเขาบอกกันว่า
อาจจะมีการใช้รอกขนย้าย เพราะว่าพบรูที่เจาะไว้บริเวณปลายโลงไม้ค่ะ
แต่สุดท้ายแล้วจ่ายอบอกมาคำนึงว่า ผีทำได้ทุกอย่าง…
แต่ก่อนจะไปดูโลงไม้ข้างบน เรามาเอาตัวรอดจากทางเดินขึ้นกันก่อนค่ะ
ทางเดินขึ้นเป็นบันไดไม้ ระยะทางสั้นๆแต่เล่นเอาใจสั่นตลอดทาง
รูปนี่ไม่อยากจะถ่ายเลยค่ะ มองไปข้างๆนี่โหวงเหวงมากกพูดเลย
ตัวโลงไม้ จะเป็นลักษณะผ่าครึ่ง และขุดเนื้อไม้ด้านในออกไว้ที่บรรจุกระดูก
และพวกเครื่องปั้นดินเผา ของใช้ต่างๆค่ะ แต่ตอนที่เราไปนี่ไม่เห็นแล้วนะ จะเห็นก็มีแต่เศษเครื่องปั้นดินเผาตามพื้นบ้างประปรายค่ะ
สิ่งหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเลย คือ เมื่อเราเข้าไปยังสถานที่เหล่านี้ ดูแต่ตา อย่าไปหยิบจับอะไรออกมาค่ะ
โลงไม้อันนี้ดูสีดีๆจะต่างกับโลงไม้อันอื่นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
อันอื่นสีก็จะออกแนวไม้เก่าๆ ฝุ่นเกาะ แต่อันที่เราส่องไฟฉายไป เนื้อไม้คือเป็นเหมือนไม้ที่เพิ่งถูกขัดเลยค่ะ
จ่าคือบอกว่า น่าจะเป็นผีแมนเนี้ยแหละ ที่กลับมาดูแลโลงไม้ของบรรพบุรุษของพวกเค้า
อีกอันโลงไม้ที่อยู่ในช่วงโค้งหักศอกค่ะ คือดูยังก็ไม่น่าเอาเข้ามาได้อ่ะ
งงมากกก ไม้มาเป็นท่อนเลย
( รูปส่วนหนึ่งบริเวณในถ้ำ มาจากพี่โอ็ตผู้ร่วมทริปกับพวกเราเองค่ะ สามารถติดตามการเดินทางในแบบฉบับของพี่โอ็ตได้ในเพจ สุดใจร้าย เลย https://www.facebook.com/SudjairaiReviewpaioneone/ )
หลังจากนั้นเราก็เดินลงมาเส้นทางเดิม ทางขึ้นว่าโหดแล้วแต่ทางลงนั้นยิ่งกว่า
พูดได้เลยว่านั่งมากกว่าเดิน การเดินในถ้ำเนี่ยด้วยความที่เราไปกันเยอะ ไกด์ก็จะค่อยๆทยอยพากันเข้าไปค่ะ
แบบทีละห้าคนสิบคนค่ะ และไกด์ผู้ดูแลแก๊งค์เราแน่นอน นั่นก็คือจ่าคือ
เวลาอยู่กันน้อยๆปุ๊ป พี่แกก็กร่างเลยจ้า ‘พูดอะไร ผมมีมีดนะๆ’
แต่ลงมารวมกับกลุ่มข้างล่างใหญ่แล้วปั๊ป สงบเสงี่ยม เรียบร้อยมากกกกก
‘ลูกทัวร์ของผมทุกคนปลอดภัยดีนะครับ’ โอโหหหหหห ยอมเขาแหละ
จากตรงนี้เดินไปหมู่บ้านก็ไม่ไกลแล้วค่ะ
สรุปแล้วเดินป่าที่บ้านจ่าโบ่ นี่เหนื่อยใช่ย่อยเลยนะ แต่มันก็มีจุดแวะพักรายทาง
วิวสวยๆ ผ่านไร่ข้าวโพดชาวบ้านที่เหมาะแก่การเป็นแบล็คกราวน์ถ่ายรูปอย่างดี
แล้วยังได้แวะวัดใจที่ถ้ำผีแมนอีกด้วย สนุกนะต้องลองเดิน
DAY3
วันนี้เราตื่นเต้นเช้าเหมือนเคย เพราะเป็นวันสุดท้ายที่บ้านจ่าโบ่
ระหว่างเก็บสัมภาระก่อนไปนั่งกินข้าวเช้ากับพี่ผึ้งอีกรอบ พี่ผึ้งก็เดินเอาสมุดเล่มกลางๆ
กับปากกามาให้เราเขียนความรู้สึกก่อนจะจากกันไป
พร้อมเอาชุดลาหู่มาให้เราใส่ไปเต้นจะคึกับชาวบ้าน ที่ลานกลางถนนด้วย
นี่เขียนเสร็จ กินข้าวเสร็จ ก็รีบใส่ชุดแต่งหน้าไปเดินร่อนเลยจ้า มีความภูมิใจมาก 55555555
อ่ะๆ ยังไม่ลืม เรายังมีการเต้นจะคึรออยู่
จริงๆชาวบ้านเขาจะมีลานเต้นจะคึกันโดยเฉพาะเลย แต่ว่าถ้าเต้นลานนั้นจะต้องเสียหมูหนึ่งตัว
เราเลยโยกย้ายมาเต้นกันกลางหมู่บ้านแทน
การเต้นจะคึ คนเป่าแคนจะอยู่ข้างในสุด ตามมาด้วยผู้หญิง
และล้อมเป็นวงกลมด้วยผู้ชายอีกรอบ เต้นกันวนเป็นวงกลมไปเรื่อยๆตามจังหวะแคน
การเต้นก็มีหลายเสต็ปค่ะ ชัดเท้าเข้าชักเท้าออก ชูมือขึ้นชูมือลง
ได้จูงมือกับชาวบ้านเต้นไปพร้อมๆกัน น่ารักมากกกก
หลังจากการเต้นจะคึจบลง
เรายังมีกิจกรรมเรียนรู้วิถีชีวิตชาวลาหู่ต่อกันอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินเท้าไปที่แม่ละนา
กิจกรรมที่ว่านั่นก็คือ การเป่าแคน การเย็บผ้า และการไปดูเครื่องจักรสาน
ที่ที่เราจะไปดูกันนั้น ก็จะแยกย้ายไปตามบ้านแต่ละหลังที่ปราชญ์ชาวบ้านอาศัยอยู่ค่ะ
เริ่มกันที่บ้านแรกเลย คือบ้านของพ่อเฒ่าแม่เฒ่า จ่าเต๊าะ และ นาที
ที่นี้เราจะได้ลองทำ ‘ตาแหลว’ กัน
ตาแหลวเป็นเครื่องจักรสานชนิดหนึ่งที่ทำจากไม้ไผ่ เราจะเห็นตาแหลวอยู่ตามทุกประตูในบ้านเลยค่ะ
ชาวบ้านเชื่อว่า นี่เป็นเครื่องรางที่แยกระหว่างคนกับผี ติดไว้ข้างหน้ากันไว้ไม่ให้ผีเข้ามาในบ้านนั่นเองงง
นอกจากนี้ ยังมีพวกข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากพ่อเฒ่าแม่เฒ่าแกแกะจากไม้เองเลย
ถ้าถูกใจก็สามารถซื้อกลับบ้านได้ลย ราคาถูกมากก
เห็นแบบนี้ อายุปาไปร้อยกว่าแล้วนะ
แต่ยังดูแข็งแรงอยู่เลย
ถัดมาเราจะมาฟังเสียง ฟังความเป็นมาของแคนลาหู่กัน
แคนของชาวลาหู่ มีหลายแบบ หลายทรง ไว้ใช้ในหลายๆโอกาส
แต่ละอันแต่ละแบบเสียงก็จะแตกต่างกันไปค่ะ อย่างเช่นถ้าเต้นจะคึก็จะใช้แคนอันเล็กหน่อย
เพราะจะให้เสียงให้จังหวะที่ฟังแล้วสนุกสนาน น่าโยกตาม
ที่หมู่บ้านนี้เหลือคนที่สามารถทำแคนเป็นคนเดียวก็คือพี่ชิดชัยคนนี้นี่เองงค่า
และตามมาติดๆด้วยการดูชาวบ้านเย็บผ้า เย็บชุดกัน
ชุดของชาวบ้านผู้หญิง ถ้าใส่ทำงานทั่วไปก็จะเป็นชุดสีดำ สีดำสลับลายสีที่เราเห็นเขาใส่กันทั่วไป
แต่ถ้าสำหรับใส่เป็นทางการ แบบมีพิธีอะไรสักหน่อยก็จะเป็นชุดที่ไปปักด้วยเม็ดเงินต่างๆค่ะ
ส่วนผู้ชายนี่จะเป็น เสื้อแขนยาวเรียบๆเลยแต่ด้านในจะมีลูกเล่นบุด้วยผ้าสีน้ำเงิน
เวลาใส่จะให้หล่อก็ต้องพับขอบเสื้อ โชว์สีน้ำเงินด้านใน
ณ จุดนี้
ใครอยากได้กระเป๋า อยากได้ชุดชาวลาหู่เอาไปไว้ใส่เล่นที่บ้าน
ก็ซื้อได้เลยยยยยย : )
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เราขอลงรูปเก็บตกจากบ้านจ่าโบ่กันอีกสักนิดด
ก่อนที่เราจะเดินเท้าต่อไปบ้านที่แม่ละนา ย้ายจากชาวลาหู่ไปสู่ชาวไทใหญ่
:: สัมผัสชีวิตไทใหญ่ บ้านแม่ละนา ::
บ้านแม่ละนาอยู่ด้านล่างลงมาจากบ้านจ่าโบ่ค่ะ ขี่มอไซต์ลงมาก็แป๊ปเดียว
เดินเท้าลงไปก็ใช้เวลาไม่นานนัก การนำทางครั้งนี้นำทางโดย ‘ลุงเผือก’ ไกด์ชาวบ้านจากบ้านแม่ละนาค่ะ
เราเดินผ่านป่าพอลำบากกันนิดหน่อย
ลุงเผือกบอกทางลัดๆ อ่ะก็ตามนั้นลุงง ลัดจากป่าเสร็จก็ลัดมาเดินที่ถนน
เข้าสู่ตัวหมู่บ้านกันต่ออออ
ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านแม่ละนา หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยนาข้าว
ชื่อหมู่บ้านจริงๆแล้วชื่อว่า บ้านลัดนาค่ะ เป็นเพราะว่าที่หมู่บ้านเนี้ยมีแม่น้ำไหลผ่านเข้ามาทางทุ่งนา
ออกเสียงต่อกันมาเรื่อยๆ จนเพี้ยนกลายเป็น ‘แม่ละนา’
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนมากเป็นชาวไทใหญ่ที่นับถือพุทธมาตั้งแต่อดีต
หมู่บ้านนี้จึงมีวัดตั้งอยู่กลางหมู่บ้านเลยค่ะ
ก่อนจะเอาของตามโฮสต์ไปเข้าโฮมเสตย์ เรามากินข้าว
และเบิร์นออกด้วยการไปเดินๆๆ กันต่ออีกรอบ แต่ที่นี่เราไม่เดินป่าแล้วนะ
เราจะไปเดินถ้ำกัน!
และการเดินครั้งนี้นำโดยลุงเผือกคนเดิม เพิ่มเติมคือระยะทางที่ไกลและชันกว่าเดิมเย๊อะ
ทางเดินมาจากหมู่บ้านก็เป็นดินธรรมดาๆนี่แหละ อาจจะมีลื่นบ้างตรงที่มันแฉะๆอันนี้ยังพอทน
แต่พอผ่านมาเข้าโค้งทางที่จะเดินลงไปถ้ำแล้วน้านนนนนนน…
เป็นทางแบบถนน คอนกรีต เดินลงและลงค่ะ ฟังดูก็เฉยๆป่ะ ดีแล้วนิเป็นคอนกรีต
แต่ว่า…..ไม่เลยยยยยย ด้วยความที่แถวนี้ก็ชุ่มชื้นซะเหลือเกิน มอส หญ้าเล็กๆขึ้นกันเต็มถนนค่ะ
เขียวปั๊ดดดดด ทางชันด้วย มันลื่นมากก สตั๊ดดอยยังมีเซ
ต้องค่อยๆเดิน ค่อยๆก้าวเกาะหลังจับกันลง เท้านี่จิกจนจะเป็นง่อยเลย 55555555
ตัดภาพมาที่ลุงเผือกมีความชิลขั้นสุด ไม่มีอาการเซใดๆ
ลูกทัวร์อยู่โค้งแรก ลุงนำไปโค้งสาม ลุงทัวร์อยู่โค้งสาม โน่นนนนนนนน ลุงถึงหน้าถ้ำยืนรอแจกไฟฉายแล้วจ้าา
บ่นว่าเหนื่อย ‘ลุงบอกเก็บแรงบ่นเอาไว้เดินดีกว่า บ่นไปไม่มีใครมาอุ้มหรอก’ โอ้ยยยย นี่อาจจะเป็นการให้กำลังใจทางอ้อม
ไหนจะพยายามเกี้ยกล่อมด้วยการบอกว่า เดินไหวๆฝรั่งยังเดินกันเลย
ตัดภาพมาที่ขากลับ ฝรั่งนี่ขี่มอไซต์ลงมากันเป็นแทบ
โอ้ยยยยย ลุงเผือกสไตล์
‘ถ้ำปะการัง’ ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กิโลเมตร
ถ้าจะไปต้องมีไกด์นำเท่านั้นนะถึงจะไปได้ ข้างในถ้ำจะมืดมากแต่ไม่ต้องห่วงไกด์มีไฟฉายให้เราพร้อม
ภายในถ้ำจะประกอบไปด้วย หินงอกหินย้อย หินที่รูปร่างคล้ายปะการังเต็มไปหมด
เหมือนเดินอยู่ในทะเลยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ
เราจะผ่านทั้งหินกรอบรูป หินที่ตีได้เหมือนกลอง หินแอ่งน้ำ หินที่มีประกายเหมือนเพชรเยอะแยะเต็มไปหมด
สวยมากกก และเพลินมากค่ะ แต่ด้วยความที่มันมืดมากเลยถ่ายรูปมาน้อยหน่อย
แต่แนะนำว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่ไม่ควรพลาดเลย
ลุงเผือกก็อธิบายเป็นฉากๆเลย เจอหินที่ตีเป็นเสียงเพลงได้ลุงแกก็จัดไปโชว์สักหนึ่งบทเพลงทั้งขาเข้าขาออก
และลุงแกจะแฮปปี้มากกก กับการที่ได้เป็นนายแบบเวลาเดินผ่านพวกหินที่มันคล้ายกรอบรูป น่ารักกก 5555555
หลังจากออกจากถ้ำ นี่คือความหิน!!! มีเดินลงก็ต้องมีเดินขึ้น ลงสุดก็ขึ้นสุดจ้าาาาา
5555555 ขำนี่ไม่ใช่อะไร ขำให้กับชะตากรรมตัวเอง ออกมาจากถ้ำนี่แบบ เออเดินก็เดิน …แต่มีรถรับจ้างมั้ยคะ
แต่สุดท้าย พวกเราก็เดินนะ เดินมาครึ่งทางก็ติดรถกะบะออกไป อ้าว 55555555
พอถึงหมู่บ้านปุ๊ป รีบแบกกระเป๋าเดินตามโฮสต์เข้าบ้านทันที
ขอพักขา อาบน้ำก่อนไปกินข้าวเป็นอย่างแรกเลยค่ะ โฮสต์ที่เราได้ชื่อป้านฤมล หรือเรียกสั้นๆว่าป้ามลก็ได้แกบอก
ป้าหน้าตาค่อนข้างดุนิดนึง แต่พอขำทีโลกงี้สดใสมากๆ บ้านของป้าอยู่ตรงข้ามกับทุ่งนาเลยค่ะ ไกลจากศูนย์กลางของหมู่บ้านไม่มาก
พออาบน้ำเสร็จ แน่นอน ถึงเวลากินข้าว
กับข้าวที่นี่อร่อยมากกค่ะ ของหวาน ของคาว ของกินเล่น มาหมด
หลังจากอิ่มท้อง เรามาอิ่มตาอิ่มใจกับการแสดงของชาวไทใหญ่กันบ้าง
ที่นี่ใช้เด็กๆแสดงค่ะ เรียกว่าการฟ้อนนกฟ้อนโต
พีคสุดคือเจ้าสามคนนี้ค่ะ ออกมาเต้นแร้งเต้นกาอยู่สามคน น่ารักมากก
น้องคนซ้ายสุด คือตอนกลางวันเราเจอน้องเขายืนเต้นอยู่คนเดียวกลางซอย นี่แอบงง
อ่อออออ สรุปน้องมีการแสดงใหญ่คืนนี้นี่เอง 555555
ยังค่ะ ยังเรายังไม่นอน หลังจากกลับบ้านไปคืนนั้น
นี่ก็ไปนัดแนะกับป้านฤมลว่า พรุ่งนี้หนูจะลุกไปใส่บาตรที่วัดด้วยตอนเช้า
สักพักสิบนาที ป้าจัดผ้าถุงมาให้เลือกกองใหญ่ การฟิตติ้งผ้าถุงจึงเกิดขึ้นค่ะ
ชาวไทใหญ่ผู้หญิงที่นี่จะใส่ผ้าถุงผ้าซิ่นกันเป็นเรื่องปกติเลยค่ะ น่ารักมากกกก
ในรูปคือป้ากำลังขำในความแก่ของพวกเราที่ใส่ชุดออกมาได้ดูแก่กว่าแม่ป้ากันซะอีก
55555555
DAY4
เมื่อคืนป้านัดเราออกบ้านหกโมงเช้าค่ะ ป้าจะลุกมาทำอาหารก่อนนะ
เราก็รีบๆกันละ ไปแน่ใช่มั้ย…
นี่ก็ตั้งปลุกรอเลย ตีห้าครึ่งกะว่าอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือทันแน่ๆสบายๆ
สรุปนู่นนนค่ะ ตีห้าสี่สิบป้าพาออกจากบ้านแล้ว ป้าไม่ได้เร่งป้าแค่บอกว่าป้าเสร็จ ป้าไปเลยนะ…
สรุปเดินจ้ำไปวัด ผ่านฝนปรอยๆ เจ้าอาวาสเพิ่งตื่นค่ะ…
การตักบาตรของที่นี้คือ ที่วัดจะมีตู้กับข้าวอยู่ค่ะ พอไปถึงเราก็จัดแจงย้ายอาหารจากปิ่นโตไปในตู้
เดินไปนั่งแล้วเดี๋ยวไม่พระท่าน ก็เณรจะเดินมาให้พรค่ะ กลับถึงบ้านหกโมงเช้าพอดี
ระหว่างรอป้าทำอาหารเช้า เรามานั่งเล่นรอกินข้าวอยู่ข้างนอก
ชาวบ้านที่นี่ก็ทยอยกันเดินออกไปทำบุญกันเรื่อยๆค่ะ ทั้งเด็ก วัยรุ่น คนแก่ หิ้วปิ่นโตกันไปคนละใบ เป็นภาพที่น่ารักมากผู้คนที่นี่เขาให้ความสำคัญกับการทำบุญมากจริงๆ ป้านฤมลแกบอกแกไปทุกกกวันเลยค่ะ
อาหารของป้าสำหรือบมื้อเช้า เป็นหมูผัดพริกแกง ต้มผักกาด
และน้ำพริกผักชี ง่ายๆ แต่กินไปเล่นมุกกันไป ขำนู่นขำนี่
เรียบง่ายแต่มีความสุขมาก
สุดท้ายก่อนเดินทางกลับเราก็ได้ไปดูชาวบ้านสาธิตการทำน้ำมันงา การหีบอ้อย
นำทัวร์โดยลุงเผือกคนเดิมนั่นเอง นอกจากจะได้ไปดูภูมิปัญญาชาวบ้านแล้ว
ระหว่างทางก็เหมือนได้เดินดูหมู่บ้านรอบๆไปในตัวด้วยค่ะ
หมู่บ้านแม่ละนา เป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆกับบ้านจ่าโบ่เลย ใครมาบ้านจ่าโบ่ก็สามารถแวะมาเที่ยวที่นี่ต่อได้เลยค่ะ
ตลอดสี่วันสามคืนที่ผ่านมา นอกจากบ้านที่พักและอาหารที่เราได้กินแล้ว เรายังได้เรียนรู้ ได้ดูได้เห็น
ว่าชาวบ้านเขาอยู๋กันยังไง ทำอะไรกันอีกด้วย
แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเรายังได้รับความอบอุ่น และมิตรภาพจากชาวบ้านด้วยค่ะ
เหมือนเรามาพักกับป้ากับญาติพี่น้องเราอย่างงั้นเลย ขอจบทริปด้วยภาพกับป้านฤมล
อยู่ที่บ้านป้าเราได้กินสัปปะรดจากสวนของป้า เราได้กินกับข้าวอร่อยๆฝีมือป้า
เราได้เห็นหมูตัวเท่าควายของป้า และเราก็ได้ชาเขียวของป้ากลับไปฝากพ่อด้วย : )
สุดท้ายขอฝากไว้หน่อยนึง การท่องเที่ยวแบบนี้คือการท่องเที่ยวโดยชุมชนค่ะ
หรืออีกชื่อนึงเรียกว่า CBT : Community Based Tourism เป็นการท่องเที่ยวที่จัดการโดยชุมชนเพื่อชุมชน
การมาเที่ยวแบบเนี้ย เราก็จะเน้นกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับชุมชนเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังได้เรียนรู้วัฒนธรรม
สิ่งแวดล้อม ได้สัมผัสกับธรรมชาติไปด้วยในตัวเลย
ขอบคุณ CBT ทัวร์เมิงไต และททท.แม่ฮ่องสอนสำหรับทริปดีๆแบบนี้นะคะ
ไม่ใช่แค่เรา แต่ทุกคนก็สามารถเป็นส่วนนึงในการมาเที่ยวชุมชน มาช่วยเหลือสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้เหมือนกัน
สามารถติดตามรายละเอียด หรือสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่
ข้อมูลการเดินทาง ค่าใช้ในการเดินทางมาพักที่บ้านจ่าโบ่ และบ้านแม่ละนา
—————————————————
การเดินทาง มีรถตู้และมินิบัส เชียงใหม่-ปาย
และจากปาย ไปบ้านจ่าโบ่ สามารถโทรให้หัวหน้าชุมชนมารับได้ (มีค่าใช่จ่ายเพิ่มเติม)
หรือ เช่ามอไซต์ขี่มาเอง แต่ถ้าขี่ไม่เจ๋งจริงแน่นำว่าอย่าเสี่ยงค่ะ โค้งเนินโหดมากกกก
หรือจะติดต่อหัวหน้าชุมชน มารับจากเชียงใหม่ไปบ้านจ่าโบ่โดยตรงเลยก็ได้ค่ะ
เป็นรถกะบะ ราคา 2,500 บาทต่อเที่ยว
ค่าใช้จ่ายในการมาพัก
ค่าที่พัก คืนละ 200 บาท/คน อาหารมื้อละ 100 บาท/คน
ค่าเดินป่า 200 บาท/ไกด์หนึ่งคน ไกด์ดูแลได้ประมาณ 2-3 คน
ที่นี้ไม่มีพื้นที่สำหรับกลางเต้นท์นะคะ
ส่วนบ้านแม่ละนา ราคาจะประมาณเดียวกันกับบ้านจ่าโบ่ค่ะ
แต่ว่าตอนนี้กำลังมีการปรับเปลี่ยนราคาอยู่
ยังไงสามารถติดต่อสอบถามกับทางหัวหน้าชุมชนได้โดยตรงเลยค่ะ
บ้านจ่าโบ่ 080 677 5794
https://www.facebook.com/cbtbaanjabo/
บ้านแม่ละนา 085-708-8817