Part 1 >>> แว๊นซ์มอไซต์ฝ่าทะเลเจดีย์ ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ‘พุกาม’
Part 3 >>> นั่งรถม้าชมราชธานีเก่า เดินเล่นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก ลอยห่วงยางในบลูลากูนที่ ‘มัณฑะเลย์’
______________________________________________________________
PYIN OOL WIN :: ‘พิลอูวิน’ เมืองพม่ากลิ่นอายแขก
การเดินทางมาพิลอูวิน ถ้าใครมาจากมัณฑะเลย์ สามารถมาได้ทั้งทางรถแท็กซี่ สองแถวชาวบ้าน
และรถบัสเลย มีหลายรอบให้เลือก เพราะว่าระยะทางแค่ 60 โล ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
แต่สำหรับเรา ที่ต้องการนั่งรถยาวจากพุกามโดยตรง
มีรถมินิบัสเพียงแค่รอบเดียวเท่านั้น คือของบริษัท OK Express ราคาคนละ 15,000 จ๊าด
ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง ออกจากพุกามเจ็ดโมงครึ่ง ถึงที่พิลอูวินประมาณบ่ายสองบ่ายสาม
รถที่เรานั่งมาเป็นรถแอร์ แต่เป็นรถที่แอร์ไม่เย็นจนต้องเปิดหน้าต่างตลอดทาง
ตอนแรกก็ไม่กล้าเปิดหรอก แต่นั่งไปนั่งมาจะเป็นลม หันไปเห็นชาวบ้านข้างหลังเปิดเลยเปิดตาม
สักพักเปิดกันทั้งรถ ไม่ไหวแล้วจ้า 5555
รถจะจอดแวะยิบแวะย่อยไปหมด (แต่ดีตรงที่แวะปุ๊ป จะมีแม่ค้ายกถาดขนมมาขายขนมปั๊ป)
มีเพื่อนร่วมทางเป็นชาวบ้านหมดเลย แถมมีนกแก้วโม่งโผล่มาด้วยหนึ่งตัวใครที่ชอบนกก็จะแฮปปี้เหมือนเรา แต่ถ้าไม่ชอบก็จะรำคาญหน่อย เพราะองุ่นที่เจ้าของยัดใส่กรงมันไว้ นี่กลิ้งไปทั่วรถเลยค่ะ 55555555
รถจะแวะพักให้กินข้าวกลางวันรอบนึง แถมไปส่งยันที่พักเลยด้วย
(สังเกตุรูปสุดท้าย น้องหม่องแก้วโม่งเราฮอตในหมู่แม่ค้ามากจ้าา)
เราพักกันที่ Thiha Bala Hotel โรงแรมสีแดงเขียวที่เหมือนอินกะเทศกาลคริสต์มาสอยู่ตลอดเวลา
ทำเลดีห่างจาก Purcell Tower หรือหอนาฬิกาที่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของเมืองเพียง 400 เมตรเท่าน้าน
พร้อมบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า และพนักงานก็บริการดีสุดๆ เช่น ไปถึงปุ๊ปทำส้วมเค้าเต็มเลย 55555555
เขาก็ใจดีเปลี่ยนห้องให้ พร้อมเอาไวน์กับผลไม้มาขอโทษ
ห้องพักดีมากกค่ะ เรานอนห้องสำหรับสามคน มีอ่างอาบน้ำให้ด้วย
ตกคนละ 325 บาทเท่าน้านนนเอง
แพลนสำหรับพรุ่งนี้ของพวกเรา คือจะไปนั่งรถไฟผ่านสะพาน Gokteik กัน
แต่ด้วยความที่เวลาน้อย ถ้านั่งรถไฟไปจากเมืองพิลอูวิน จะต้องเริ่มนั่งกันตั้งแต่แปดโมงเช้า กว่าจะย้อนกลับมาก็ถึงหกโมงเย็น รวมๆแล้วคือ อยู่บนรถไฟเกือบสิบชั่วโมงได้ โอยยย ไม่ไหวค่ะ
(จริงๆไฮไลท์สะพาน Gokteik มันใช้เวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้น)
เราก็เลยคิดว่าจะเหมาแท็กซี่ไปย่นระยะทาง จะได้ประหยัดเวลามากขึ้น ดูราคามาคร่าวๆคือ 50,000 จ๊าด
แต่ถามโรงแรมก็แล้ว เดินสุ่มหาแท็กซี่ หาบริษัททัวร์ก็แล้ว ก็หาแท็กซี่ไม่เจอค่ะ
ไม่รู้จะเอาไงต่อ เลยนั่งกินข้าวอยู่ร้านอาหารจีนมันซะเลย!! โมโหหิว 5555555
(ลองสุ่มถามคนขายดู คนขายก็ไม่รู้อีก เอ้ออออ!)
สุดท้ายก็ทำใจว่าคงต้องนั่งรถไฟมาราธอนสิบชั่วโมงกันแล้วแหละ
ช่างมันไม่หาแล้ว เย็นวันนี้เราเลยเดินเล่นไปเรื่อยๆรอบเมืองกันค่ะ
เมืองพิลอูวิน หรือชื่อเก่าที่ชาวบ้านรู้จักกันคือ เมืองเมเมียว
ให้ความรู้สึกเหมือนเราเดินเล่นอยู่ที่ประเทศอินเดียยังไงยังงั้นเลยค่ะะ
แต่เป็นอินเดียเวอร์ชั่น ทาทานาคา นุ่งโสร่ง และเคี้ยวหมาก! บ้านเมืองที่นี่ก็สีสันจัดจ้าน
สถาปัตยกรรมออกแนวยุโรปนิดๆ เดินถ่ายรูปเพลินมากก
แถมที่นี่มีรถม้า ที่แตกต่างจากเมืองทั่วๆไปด้วย
เป็นรถม้าที่เหมือนหลุดออกมาจากเรื่องซินเดอเรล่าค่ะ แต่ละคันก็จะมีลายแตกต่างกันไป
ราคาที่อ่านข้อมูลมาคร่าว ตกชั่วโมงละ 100 บาทต่อคน
แต่! เมืองนี้ไม่รู้เป็นอะไร มองได้มองดี
ชาวบ้านบางคนก็เหลียวหลังมอง บางคนก็มองมาตรงๆชนิดที่ว่ามองกลับแล้วก็ยังไม่ยอมหลบตาด้วย
บางคนมันก็จะทำเหมือนไม่ได้มอง พอเราเดินผ่านไปเท่านั้นแหละหันมาคอแทบหัก
หรือจะเป็น ขับมอไซต์วนมามองอีกทีก็มีนะ ไม่รู้ว่าสวย หรือแปลกเลยว้อยยย 5555555555555
ระหว่างเดินเล่น เราดันไปเจอกับรถสองแถวเล็กๆของชาวบ้านที่จอดอยู่ในหลืบ
พร้อมคนขับที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในรถ ไม่รีรอค่ะ แผนเปลี่ยนทันที ไม่มีแท็กซี่สองแถวก็ได้ว้อย
รีบปรี่เข้าไปบอกแพลนเขาด้วยภาษาอังกฤษที่งูๆปลาๆกันทั้งคู่ เขาสรุปมาในราคา 15,000 จ๊าดดดด!!!
เดี๋ยวนะโครตถูก เลยนั่งพูดแพลนเราซ้ำๆให้เขาฟังไปอีกสี่ห้ารอบ กลัวผิดพลาด 5555555
แล้วก็ดั๊นนนโชคดี เจอ ‘โจเซฟ’ ชาวบ้านแถวนั้นที่เคยไปทำงานอยู่ไทยมาเจ็ดปี ภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อเข้ามาช่วยคุยให้
พร้อมบอกว่าคนนี้ไว้ใจได้อยู่บ้านใกล้ๆกัน แล้วก็แนะนำเราทุกอย่างรวมไปถึงแท็กซี่กลับมัณฑะเลย์ด้วย
ความจริงแล้วพวกเราก็แอบหวั่นใจกันอยู่นิดๆว่าจะโดนหลอกมั้ย หรือเขาจะทำกันเป็นกระบวนการวะ 55555
แต่ก็พยายามคิดว่า เราเข้าไปหาเขาเอง เขาไม่ได้เดินมาตื้อสักหน่อย เอาวะ! ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอเบอร์นัดเวลาเลยแล้วกัน (แต่ก็ยังไม่วาย แอ๊บเป็นขอถ่ายรูปไว้ก่อนเผื่อเกิดอะไรขึ้นมา คนขับเราคือคนซ้ายค่ะ โจเซฟคือคนด้านขวา)
เช้าวัดถัดมา เรารีบกินข้าวเช้าที่โรงแรม เช็คเอ้าท์พร้อมฝากกระเป๋าไว้ที่เค้าท์เตอร์
แล้วก็เดินไปที่เก่า (ถนนเลขที่หก) ที่นัดกันไว้แปดโมงเช้า ระหว่างทางเดินไปเราจะผ่าน Purcell Tower กันอีกรอบ
แต่กลายเป็นว่า วันนี้รถแท็กซี่ มอไซต์ จอดเรียงรายรอบริการกันเต็มเลย
(สงสัยเมื่อวานมันน่าจะเย็นเกินไป เขาเลยกลับบ้านกันหมด)
พอถึงที่ที่นัดกันไว้
……………….
ไม่มีคนสักคน รถก็เช่นกัน รีบโทรหาตามเบอร์ที่ให้ไว้อย่างไว
สักพักเขาก็เปิดประตูบ้านถอยรถออกมา อ่อออออ เอารถเข้าไปเก็บไว้ในบ้านนี่เอง ใจหายใจคว่ำหมด
ขณะเดียวกัน โจเซฟแกก็เดินออกจากบ้านมานั่งคุยกับพวกเรา ระหว่างรอคนขับเตรียมรถ
นั่งคุยกันไปเรื่อยไปเปื่อย เราก็ถามลุงว่าทำไมคนที่นี่ชอบมองจังเลย เกี่ยวมั้ยที่เราใส่กางเกงขาสั้น
แกบอกมีคนใส่สั้นกว่านี้อีก แต่ที่มองเนี่ยเป็นเพราะปกติจะมีแต่นักท่องเที่ยวฝรั่ง
ยังไม่เคยเจอคนไทยมาเที่ยวเท่าไหร่ เลยไม่ชิน (โถถ ไม่ได้สวยหรอกหรอเนี้ยย)
สักพักเขาก็เรียกไปขึ้นรถ ณ จุดนั้นคือมั่นใจเลยไม่โดนหลอกแล้วแน่ๆ เพราะนอกจากรถแล้ว
พี่แกเล่นขนยางอะไหล่ กับน้ำมันเครื่องไปด้วย คงกลัวว่ารถจะพังระหว่างทาง
ไม่พอนะ แม่แกก็ออกมายืนรอส่ง พร้อมกับน้องชายที่วันนี้จะไปกับเราด้วย จะได้เปลี่ยนกันขับ!
ก่อนรถออกโจเซฟบอกว่า ไว้กลับมาก่อนพวกเรานั่งรถต่อไปมัณฑะเลย์ เดี๋ยวพาไปกินอาหารอินเดียใต้ชื่อดัง
ฮืออออ ใจดีจนรู้สึกผิดที่ตอนแรกสงสัยลุงแกเลย เราเลยบอกโจเซฟไปว่า เราโชคดีมากๆที่ได้เจอคุณ
โจเซฟบอกกลับมาว่า ‘Your good heart can bring a good people into your life.’ งู้ยยยยย
แพลนในการตะลุยรถสองแถว ไปนั่งรถไฟผ่านสะพานก๊อกเต๊ก สะพานที่สูงที่สุดอันดับสองของโลก
เป็นแบบนี้ค่ะ ดูตารางรถไฟเพื่อความเข้าใจได้ที่ osink7mwmFckYf77H9K-o.jpg
เราจะให้สองแถวไปส่งเราที่สถานี Nawngshiko
หลังจากนั้นเราจะเปลี่ยนไปนั่งรถไฟจนถึงสถานี Nawngpeng ซึ่งสองแถวจะไปรอรับเราอยู่ที่นั่นแล้วพาเรากลับพิลอูวินค่ะ ก็คือ… ตัวไฮไลท์สะพานก๊อกเต๊กจะอยู่ระหว่างสถานี Gokteik Viaduct – Nawngpeng
กลับมาสู่ช่วงไส้ติ่งสะเทือนของเรากันต่อ
ถนนเส้นนี้เป็นทางไป Lashio ค่ะ ลืมบอกไปว่าตอนนี้เราอยู่กันที่รัฐฉานนะ
รถจะขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ นั่งต้านลมกันไป ยิ่งหนาวยิ่งปากสั่นแต่สั่นกว่าปากคือตัวค่ะ
โอโหหหหหหห ถนนนี่คิดว่าวิ่งอยู่บนดวงจันทร์ นั่งไปลุ้นกันอยู่อย่างเดียวไส้ติ่งกับริดสีดวงอะไรจะแตกก่อนกัน
ระหว่างทางไม่รู้ไปดีลกันไว้ยังไง ได้ผู้โดยสารเพิ่มซะงั้น
คิดว่าน่าจะหยุดถามทาง แก๊งค์นี้ก็เลยถือโอกาสขอติดรถไปลงข้างหน้าด้วยแล้วกัน 5555555
แต่เราโอเคนะ ยิ่งรถคนเยอะ ความสั่นมันยิ่งน้อยลงค่ะ
หลังจากนั้นแก๊งค์นี้ก็ลงรถไป เพราะเราต้องเลี้ยวเข้าสถานีรถไฟแล้วค่ะ
พอเราถึงสถานีรถไฟปุ๊ป ภาพที่เห็นคือรถไฟกำลังเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ
ซวยแล้วที่นี้ วิ่งกันวุ่นเลยค่ะ คนขับรถวิ่งไปบอกนายสถานี นายสถานีก็รีบวิ่งไปหน้าขบวนบอกคนขับรถไฟ
ชาวบ้านบนรถไฟก็ช่วยกันผิวปากให้รถไฟหยุด ช็อตนั้นคิดอย่างเดียวคือ …ไม่น่าแวะซื้อขนุนเลยกุ
สรุปแล้วรถไฟก็จอดรอเราค่ะ ฮือออ น้ำตาจะไหลสามคนเป็นภาระเขาทั้งขบวน
นายสถานีก็ให้ขึ้นไปนั่งรอบนรถไฟ แล้วก็ขอพาสปอร์ตไปออกตั๋วมาให้ถึงที่เลย
เรานั่งโบกี้ Ordinary class ที่เป็นเหมือนรถไฟชั้นสามบ้านเรา คนละ 1,000 จ๊าดเท่านั้น!
(ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนั่งชั้น Upper Class เป็นแบบเก้าอี้เบาะกันค่ะ)
เป้าหมายของนักเดินทางต่างชาติส่วนใหญ่ นอกจากนั่งรถไฟข้ามสะพานก๊อกเต๊กแล้ว
เขาก็จะนั่งรถไฟไปต่อกันเลยที่เมือง Hsipaw เพื่อไปเดินป่าเทรคกิ้ง หรือไม่ก็ไปสุดสายที่ Lashio เมืองก่อนถึงชายแดนจีนกัน ไม่รีบร้อนเหมือนเรา เลยไม่ค่อยมีใครแวะลงระหว่างทาง ทำให้พวกแท็กซี่หรือรถเช่าประจำจะหายากค่ะ
เมื่อใกล้ถึงสถานีก๊อกเต๊ก รถไฟจะขับเลาะทางแนวหน้าผาไปเรื่อยๆ
วิวข้างทางนี่สวยมากกกค่ะ สวนของชาวบ้านจะถูกปลูกอยู่ริมแนวหน้าผาเลย
สักพักรถไฟก็จะมาจอดแวะที่สถานี Gokteik Viaduct เพื่อเตรียมตัวก่อนวิ่งเข้าสู่ตัวสะพาน
จนกระทั่งโค้งสุดท้ายก่อนถึงสะพาน เป็นอะไรที่ตื่นเต้นนนนนนนนมากกกกกก
ภาพที่เราดูในเน็ตมานาน ในสุดที่ก็ได้มาเห็นกับตาซะที
แต่จะมัวมาตื่นเต้นไม่ได้นะ เรามีเวลาบนสะพานนี้ประมาณแค่ 20 นาทีเท่านั้นก่อนรถไฟจะกลับเข้าสู่เส้นทางปกติ
อารมณ์เหมือนทำแคมเปญเดอะเฟสอยู่เลยค่ะ 55555555 ต้องรีบหามุม รีบเปลี่ยนกันถ่าย
ช็อตที่สวยที่สุด จะเป็นช็อตตอนที่รถไฟเลี้ยวเข้าสะพานตอนแรก สะพานมันจะโค้งนิดนึง
ทำให้ตอนถ่ายรูปจะติดหัวขบวนสีแดงๆเข้าไปด้วยยยย
ด้านล่างสะพานก๊อกเต๊กแห่งนี้ (ย้ำนำคะ ว่าก๊อกเต๊ก นี่เสร่อไปอ่าน โกเต๊ก 5555555 พนักงานงงกันทั้งแถบ)
จะเป็นค่ายทหารที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ห้ามคนทั่วไปเข้าไปค่ะ เนื่องจากป้องกันการแอบเข้าไปวางระเบิดสะพาน
หลังจากนั้นรถไฟก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เคลื่อนตัวเข้าสู่สถานี Nawngpeng
คนขับรถเราทั้งคู่ก็มายืนรอรับ พร้อมโบกไม้โบกมืออยู่ข้างชานชาลาเรียบร้อย ให้อารมณ์เหมือนแม่มารอรับลูกๆมากกกก สงสัยกลัวว่าพวกเราจะโง่นั่งเลยกันแน่ๆ 5555555
(ถ้าใครยังไม่หนำใจ จะนั่งรถไฟผ่านสะพานก๊อกเต็กอีกรอบนึงก็ได้นะ เพราะรถไฟขบวนขากลับจะมาถึงในเวลาไร่เรี่ยกัน
เราก็ให้คนขับจอดรอที่สถานี Nawngshiko ที่มาส่งตอนแรกนั่นแหละ พอลงรถไฟขามาปั๊ปก็กระโดดขึ้นขากลับได้เลย แต่ค่าโดยสารก็เบิ้ลตามนะจ๊ะ)
แล้วเราก็ขึ้นรถสองแถวกลับเข้าตัวเมืองพิลอูวิน ทางกลับรอบนี้โหดกว่าเดิมเย๊อะะ
เพราะนอกจากถนนจะขรุขระแล้ว ยังจะมีออฟชั่นเสริมโค้งหักศอกเพิ่มเข้ามาด้วย
คนขับก็แวะข้างทางให้เรื่อย ไม่ว่าจะเป็นแวะร้านกาแฟชาวบ้าน แวะจุดชมวิวข้างทาง
รวมไปถึงแวะเพราะน้ำในหม้อรถหมด รถจะพังแล้วอะไรแบบนี้ 5555555
(อันนี้แซว ไม่เสียเวลามาก พอให้ตูดได้ผ่อนคลายจากความระบม)
จากรูปจุดชมวิว ดูดีๆจะเห็นเส้นถนนที่เราใช้กันค่ะ ดูความคดเคี้ยวของมันนนน!!
มีอีกนึงจุดแวะที่เขาพาพวกเราไปค่ะ เป็นร้าน TEA HOUSE ตั้งอยู่ในตลาดของเมืองระหว่างทางที่เจริญขึ้นมาหน่อย ตอนแรกกะจะแวะขอเข้าห้องน้ำเฉยๆ กลายเป็นว่าพอเห็นของกินเท่านั้นแหละ นั่งโต๊ะมันซะเลย
คนขับจัดการให้สั่งให้เราเสร็จสรรพ
ดูจากจำนวนชาวบ้านที่เข้ามานั่งกินกันแล้ว ร้านนี้จะต้องเป็นร้านดังประจำย่านนี้แน่นอน
ชานมละมุนมากก แล้วก็อาหารอินเดียใต้จานถาดหลุมนั้นชื่อว่า ‘บุรี’ ก็เด็ดโครตตตค่ะ
ขนมนี่จะเอามาวางให้หลายๆจาน เรากินอันไหนเขาก็จะคิดตังค์แค่อันนั้น
อีกอย่างราคาโครตถูก บุรี ที่อร่อยๆนั่นตกจานละไม่ถึง 15 บาทเองค่ะ
เรากลับมาถึงเมืองพิลอูวินกันประมาณ 4 โมงเย็นค่ะ คนขับหันมาบอกว่าไม่น่ามีรถแท็กซี่แล้วตอนนี้
เดี๋ยวพาไปขึ้นรถอย่างอื่นแทน โดยเขาบอกว่ามันเป็นรถ ‘Truck’ ไอ้เราก็โหววว ภาพที่คิดไว้คือรถบรรทุกไม่มีหลังคาไรงี้
แต่ก็ช่างมันเถอะ ไหนๆก็ผ่านกันมาทั้งวันแล้ว ทนต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
หลังจากนั้นก็รีบพาเราแวะเอากระเป๋าที่โรงแรม ระหว่างทางก็โทรติดต่อคนขับให้ด้วย กลัวรถไปก่อนไม่รอ
(อดเจอโจเซฟอีกรอบเลยยย) สุดท้ายก็มาส่งตรงจุดขึ้นรถทัน จริงๆเป็นแค่รอสองแถวธรรมดาเหมือนบ้านเรานี่แหละ
มีแต่ชาวบ้านทั้งคัน ค่าโดยสาร 3 คนรวมกัน 4,500 จ๊าดเท่านั้น จากตอนแรกดูแท็กซี่กลับไว้ราคา 20,000 จ๊าด
ฮือออ คนขับใจดีอีกแล้ว ปกตินักท่องเที่ยวจะโดนอะไรที่แบบว่า แพง ไปแพงกว่าไรงี้
แต่นี่กลับพาเรามาถูกกว่าอีกเรื่อยๆ จัดไปเลยค่ะ ค่ารถที่คุยกันไว้ 15,000 จ๊าด
ซาบซึ้งมาก จ่ายทิปกันไปอีก 5,000 จ๊าด
ใครไม่เป็นไส้ติ่งหรือกลัวริดสีดวงแตก
อยากประหยัด ไม่แคร์แม้รถจะสั่นเพียงใด แถมอยากได้ความโลคอล
และบริการที่ดีโครตตตตตต แนะนำค่ะ เอาจริงๆแล้วเราว่ามันสนุกมากก โครตมันส์
ข้อมูลติดต่อคนขับ
บ้านพี่เขาอยู่บนถนนเลขที่6 ใกล้ๆกับวัดที่มันจะดูอินเดียๆหน่อย
TEL. 09-400438801 EMAIL : [email protected]
FB : Luzoe Minthar
และภาพข้างบนคือสภาพสองแถวที่เรานั่งไปมัณฑะเลย์
เดี๋ยวก็ขนผักขนของ แวะรับกันเกือบตลอดทาง 5555555
นั่งรวมๆไปกับชาวบ้านนิแหละ พูดกันไม่รู้เรื่องสักคำนะ
แต่เราอยากกินข้าวโพด เขาก็พยายามช่วยซื้อให้
มีป้าคนนึงน่ารักมากกกกก เห็นเราถือข้าวโพดไม่ยอมกินซะที เลยเอาไปช่วยแกะ
พร้อมกินโชว์ด้วย (เอ้าหรือป้าตลกแดรกกันแน่นะ 55555)
ยังไม่พอนั่งๆไป ป้าทำท่าลุกลี้ลุกรน สุดท้ายหยิบปากกาเอาไปเขียนที่อยู่บ้านตัวเอง
พร้อมทำท่านอน แล้วก็กวักมือๆ เดาว่าถ้าไปพุกามไปนอนบ้านเขาได้นะ (รึเปล่า)
ระหว่างทางสอนภาษาพม่าให้ด้วยค่ะ 5555555555 น่ารักสุดๆๆๆ
______________________________________________________________
ตามไปอ่านการเดินทางฉบับๆเต็มทั้งสามพาร์ทได้ตามนี้เลย
Part 1 >>> แว๊นซ์มอไซต์ฝ่าทะเลเจดีย์ ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ‘พุกาม’
Part 2 >>> แวะ ‘พิลอูวิน’ เมืองพม่ากลิ่นอายแขก สู่การนั่งรถไฟผ่านสะพานที่สูงที่สุดของพม่า
Part 3 >>> นั่งรถม้าชมราชธานีเก่า เดินเล่นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก ลอยห่วงยางในบลูลากูนที่ ‘มัณฑะเลย์’
( รายละเอียดค่าใช้จ่าย / ทริคเล็กๆน้อยๆในแต่ละเมืองอยู่พาร์ทสุดท้ายนะจ๊ะ )