ONCE IN A LIFETIME MYANMAR (3) | นั่งรถม้าชมราชธานีเก่า เดินเล่นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก ลอยห่วงยางในบลูลากูนที่ ‘มัณฑะเลย์’

Part 1 >>> แว๊นซ์มอไซต์ฝ่าทะเลเจดีย์ ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ‘พุกาม’
Part 2 >>> แวะ ‘พิลอูวิน’ เมืองพม่ากลิ่นอายแขก สู่การนั่งรถไฟผ่านสะพานที่สูงที่สุดของพม่า

___________________________________________

MANDALAY :: ‘มัณฑะเลย์’ ราชธานีเก่า

เรามาทำความเข้าใจกับ ‘มัณฑะเลย์’ กันก่อน
(เอาตามความเข้าใจเรานะ คือมันจะเป็นเมืองแยกออกไป อารมณ์แบบสยาม รามอินทรารงี้ไม่ไกลกันมาก
สามารถเที่ยวได้โดยแท็กซี่ ไม่ถึงกับต้องนั่งรถบัสข้ามเมือง) แบ่งที่เที่ยวเป็นโซนๆดังนี้ค่ะ

– โซนในเมืองมัณฑะเลย์ ก็จะเป็นพวกพระราชวัง วัดชเวนันดอร์ พระมหามัยมุนี วัดต่างๆ
– โซนเมืองเก่า อังวะ – สกาย – มินกุน (สามเมืองนี้แยกกัน แต่อยู่ใกล้ๆกัน)
– และอีกโซนคือ อมรปุระ แลนด์มาร์คหลักๆจะเป็นสะพานอุเบ็ง และวัดมหากานดายน

ซึ่งสองโซนหลังเนี้ย จะเป็นทางผ่านจากสนามบินเข้าสู่ในตัวเมืองมัณฑะเลย์
ตามแพลนเราก็คือ วันแรกถึงสนามบินมัณฑะเลย์ตอนบ่ายโมง แต่เราจะยังไม่เที่ยวมัณฑะเลย์โซนใน
เพราะจะนั่งรถข้ามไปพุกามเลย แต่กว่ารถจะออกมันดึก! เราเลยเหมาแท็กซี่เก็บที่เที่ยวระหว่างทางผ่านไปสถานีรถบัสก่อน นั่นคือเมืองอังวะ และสะพานอุเบ็งที่อยู่เมืองอมราปุระ

แล้วเดี๋ยวหลังกลับมาจาก พุกาม – พิลอูวิน
จะมาตามเก็บที่เที่ยวที่เหลือ ( งงมั้ย? ถ้างงถามมาได้เลยยยย )
———————————————-

(DAY 1) ย้อนกลับไปวันแรกที่มาถึงพม่า

ตามแพลนที่บอกไปเราจะเหมาแท็กซี่เที่ยวเมืองอังวะ และไปดูพระอาทิตย์ที่สะพานไม้อุเบ็งกันก่อน
หลังจากนั้นก็ให้เขาไปส่งทิ้งไว้ที่สถานีรถบัสไปพุกาม

ดีลแท็กซี่ที่เค้าท์เตอร์ Tourism information ได้มาในราคา 45,000 จ๊าด
หลังจากที่ตอนแรกออกไปสู้กับแท็กซี่นอกสนามบินมาแล้ว มันดูกวนติงๆแถมคิดแพงกว่าตั้งหมื่นจ๊าด
ได้แต่เดินกลับมาอย่างเหนียมอายพร้อมบอกพนักงานว่า เราเอาแท็กซี่ของคุณนั่นแหละ 555555

เริ่มกันที่เมืองแรก…

INWA :: เมืองอังวะ
เมืองนี้แท็กซี่จะจอดส่งและรอเราอยู่ที่ริมท่าน้ำ เราจะต้องนั่งเรือโดยสารข้ามฟากต่อไปเองค่ะ
พาหนะหลักของนักท่องเที่ยวเมืองนี้ก็คือ ‘รถม้า’
ราคาจะอยู่ที่ 15,000 จ๊าด นั่งได้สามคน ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง

เขาจะพาเราไปเก็บ 4 ที่เที่ยวหลักๆ แต่ถ้าอยากแวะลงตรงไหน หรือจะหยุดถ่ายรูปยังไงก็บอกคนขับได้ค่ะ
ระหว่างทางก็จะผ่านอุโมงค์ต้นไม้ บ้านเรือน ไร่นา และสวนของชาวบ้านไปเรื่อยๆ

โดยเราจะมาไล่ตั้งแต่ที่ที่ไกลสุดดังนี้ค่ะ…

Bagaya monastery, วัดบากะยา
ความพิเศษของที่นี่คือ ตัววัดแกะสลักจากไม้สักทั้งหลัง
แถมยังมีเสาไม้ที่ทั้งใหญ่ และสูงอยู่โดยรอบตัว 200 กว่าต้นเลย
…ที่นี่เราต้องซื้อบัตรเข้าชมเมืองมัณฑะเลย์ด้วย ราคา 15,000 จ๊าด
บัตรนี้จะครอบคลุมที่เที่ยวมัณฑะเลย์หลักๆ เกือบทุกที่เลยค่ะ ยกเว้นเมืองมินกุน

เดินเล่นอยู่รอบๆสักพัก ก็เจอกับแก๊งค์วัยรุ่นพม่าที่มาจากย่างกุ้งค่ะ
มาเที่ยวเหมือนกัน ใส่โสร่งมาทุกคนเลยเท่มากก แต่ดูมันใช้พระถ่ายรูปปปปปปสิ้ 5555555
แล้วดูท่ามั๊นนนนน เอ้า รออะไร แจมสิคะ!

คนเสื้อลายสก็อตจัดว่างานดีมากค่ะ แหะๆ 5555555

Yadana Hsemee Pagoda Complex, เจดีย์ยานาดาซินเม
เป็นซากปรักหักพังของวัดโบราณที่อยู่กลางทุ่งนาค่ะ
บริเวณข้างๆจะมีพระประธาน และเสาที่ยังคงเหลืออยู่ให้เดินสำรวจด้วย

ที่นี่มีชาวบ้านมานั่งขายรูปที่วาดเองสดๆ วางปุ๊ปเอาหินทับตากแดดมันไว้ตรงนั้นเลย
แบบขาวดำอยู่ที่รูปละ 2,000 จ๊าด ซื้อเยอะ ลดเยอะ ซื้อน้อยลุงก็จะตื้อมากหน่อย เพราะเริ่มทำหน้าหงุดหงิดลุงจะเลิกตื้อ
แต่พออารมณ์ดีแล้วกำลังจะหยิบตังค์จ่าย ลุงก็ตื้ออีก!!!!

Nanmyint Watch Tower, หอคอยเอียงแห่งเมืองอังวะ
ถ้าอิตาลีมีหอเอนปิซ่า อังวะก็มีหอคอยนานมยินเช่นกัน แต่เป็นเวอร์ชั่น 27 เมตรนะ
เหตุผลที่เอียงเนี้ยะ เป็นเพราะว่าเกิดจากแผ่นดินไหวค่ะ

ปัจจุบันไม่เปิดให้เดินขึ้นไปแล้วนะ เพราะเขากลัวว่าหอคอยถล่มลงมา
มีไม้ปิดกั้นไว้อย่างดี ถ่ายรูปได้เฉพาะแค่ภายนอกเท่านั้น

Maha Aungmye Bonzan, วัดมหาอังยีบองซาน
หลายคนเรียกวัดนี้ว่า เมห์นู อ๊อกคยัง วัดนี้เมื่อก่อนของแท้ออริจินอลถูกสร้างขึ้นจากโครงสร้างไม้
แต่ภายหลังได้พังทลายลง เขาจึงได้มีการสร้างขึ้นใหม่โดยปูนแทน ตัดวัดจะออกเป็นสีเหลืองๆ ถ่ายรูปเพลินน

หลังจากนั้นรถม้าก็มาส่งเราที่จุดเริ่มต้น เพื่อนั่งเรือข้ามฟากกลับไปหาแท็กซี่ที่จอดรอเราอยู่
เรือสิ้นสุดการวิ่งถึงแค่หกโมงเย็นเท่านั้น แต่ระหว่างนั้นไม่ว่าจะมีผู้โดยสารกี่คน เรือก็ไปกลับอยู่ตลอดเวลา
แต่ละรอบไม่ต้องรอนานเลยยยยย

ก่อนเดินทางไปต่ออีกที่ เราก็แวะกินข้าวร้านแถวนั้นก่อน
อาหารพม่า จะเน้นเครื่องเคียงและหนักไปทางน้ำมันมากๆ จริงๆเราเป็นคนกินง่ายนะ
แต่มาม่าที่พกไป ก็ได้ใช้งานอยู่บ่อยๆ

แต่มันก็ต้องแล้วแต่บางร้าน บางเมนูด้วยนะ
อย่างร้านนี้ที่เรากิน คืออร่อยมากกก อารมณ์แบบกินข้าวกับน้ำพริกที่ไทยนี่แหละ
แต่บางร้านถ้าแย่ก็คือจะแย่ไปเลย ตอนอยู่พุกามลองเดินดูร้านข้างทาง อารมณ์เหมือนยำขนมจีน
แต่พอแม่ค้า เห็นเราจะเดินเข้าไปนะ ยิ่งโชว์การขยำใหญ่เลย มือสดๆนิแหละ โอ้ยอันนี้ไม่ไหวจริงๆ

อันนี้ไปร้านข้างสถานีขนส่ง เมนูไม่มีรูป เลยพยายามเพล์ยเซฟด้วยการสั่ง Fish Rice
ไอ้เรากะว่า เออข้าวกับปลาดทอดให้มันจบๆไป กลายเป็นว่าได้ ข้าวจริง ปลาจริงแต่ขยำรวมกันมา
ไม่มีรสชาติเลย แล้วดูเครื่องเคียงที่มาให้มา ฮืออออ

U-Bein Bridge :: สะพานไม้อูเบ็ง
หนึ่งในสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนมัณฑะเลย์ หรือพม่า
นั่นก็คือการ ดูพระอาทิตย์ตกที่สะพานอูเบ็ง สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลกกกก
ความยาวไปกลับรวมกันเกือบ 4 กิโลได้

ไม้ที่นำมาสร้างสะพาน คือไม้ที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าที่เมืองอังวะนี่แหละค่ะ
ระหว่างทางก็มีจุดอยู่แวะพักเรื่อย ทั้งร้านค้า ศาลาพัก รวมไปถึงสะพานให้เดินลงไปข้างได้ด้วย
(นี่ก็ได้เดินลงไปด้วย ไม่ใช่ลงไปชมวิวนะ ผ้าปลิวตกลงไปค่ะ
ฮืออออออ เดินย้อนกลับไปเกือบครึ่งสะพาน 555555)

พระอาทิตย์ตกสะพานอูเบ็ง ที่คิดไว้คือโทนสีส้ม
พระอาทิตย์ดวงโตๆหลังสะพาน สาดแสงสีส้มๆพร้อมเรืออีกสักสองสามลำจองเรียงกันอยู่

แต่ภาพที่ได้ออกมาคือโทนฟ้าหม่น 5555555
เพราะเมฆเยอะมากกกกกกกกกก ลมก็แรงสุดๆแทบจะไม่เห็นพระอาทิตย์เลยสักนิด (แต่ก็สวยไปอีกแบบ)
ที่สะพานอูเบ็งนอกจากนักท่องเที่ยวเยอะแล้ว ชาวบ้านที่มาเที่ยวก็เยอะไม่แพ้กันค่ะ
ใครอยากมานั่งชิลๆ ดูวิถีชีวิตผู้คนพม่า เป็นอีกที่ที่แนะนำเลย

หลังจากนั้นรถแท็กซี่ก็พาเราไปส่งไว้ที่สถานีรถรอไปพุกาม
พร้อมบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้โทรหาเขาได้ทันที! จบแล้วสำหรับวันแรกที่มัณฑะเลย์
พุกาม เป็นยังไงย้อนกลับไปอ่านกันได้ที่ แว๊นซ์มอไซต์ฝ่าทะเลเจดีย์ ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ‘พุกาม’

(DAY 4) กลับมาสู่ภาคต่อ ตอนที่นั่งสองแถวจากพิลอูวินมาเมืองมัณฑะเลย์
———————————————
รถสองแถวจะมาจอดส่งลงตรงกลางเมืองเมืองมัณฑะเลย์ (ประมาณถนนที่ 34 ตัด 86)
ภาพที่เห็นคือพอรถชะลอจอดปุ๊ป พวกวินมอไซต์ เด็กสองแถวคันอื่น วิ่งตามรถกันเต็มเลยค่ะ
บางคนก็วิ่งแล้วมากระโดดเกาะข้างๆ บางคนก็วิ่งแล้วกระโดดขึ้นมาบนรถจะให้ไปกะมันให้ได้

น่ากลัวมากกกกกกกกกกกก ภาพตอนโดนรุมที่กัมพูชากับเวียดนามผุดขึ้นมาเลยค่ะ (แต่ที่นี่วิธีแอบโหดกว่านิดนึง)
หันไปหาป้าแล้วพยายามส่ายหัวว่า ‘ไม่เอาๆช่วยด้วย’ สิ่งที่ได้คือ ป้าทำท่าบิดมอไซต์…
หันไปหาลุงท้ายรถ ลุงก็ทำท่าบิดมอไซต์…. อารมณ์น่าจะประมาณว่ามอไซต์มารับแล้ว ไปสิๆ 5555

สุดท้ายเลยถามราคา มันคิดคนล่ะ 2,500 จ๊าด
บ้านแกสิ! ดูในแผนที่แล้วโรงแรมมันห่างแค่สองกิโลเอง 1,500 จ๊าดขาดตัวว้อย ไม่ลดไม่ไป
มันโอเค พร้อมวิ่งไปเอามอไซต์มาสองคัน ให้ซ้อนๆกันไป ระหว่างทางนี่ยกกล้องขึ้นมาไม่ได้เลยยยยยย
มันจะหันมาถ่ายรูปด้วยตลอด 555555555 แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเรื่องตลกไปเลยค่ะ

น่ารักดีถ้าไม่ติดว่าเปิดตัวมาโหดไปหน่อย

เราพักที่ Universe Hotel ห้องสำหรับสามคน
รวมอาหารเช้าแล้ว ตกคนล่ะ 300 บาท เรทราคาก็เหมือนกับเมืองอื่นที่เราพัก
แต่ว่าห้องดีกว่ามากกกกกกกๆ

หลังจากนอนเอาแรง เราก็เดินออกไปหาอะไรกินกัน
มัณฑะเลย์ตอนกลางคืนมืดและน่ากลัวกว่าที่คิด ใครมาคนเดียวแนะนำว่าอย่าออกมาเดินเผ่นผ่านเลย
อยู่โรงแรมเถ๊อะ นี่ขนาดเดินกันสามคนยังต้องระวังหน้าระวังหลัง

Shwe Khaing Barbeque คือร้านบาร์บีคิวที่เราเสริชมากจาก TripAdvisor
ใจมันเรียกร้องเนื้อย่างมาก เลยมาโดนกันซะเลย อยู่ห่างจากที่พักประมาณโลกว่าๆเอง

วิธีสั่งก็คือ เดินเลือกๆใส่ตะกร้าให้เขาย่าง แล้วเดี๋ยวเขาเดินมาเสิร์ฟเอง
ระหว่างรอย่าง มีลุงแขกๆคนนึงเดินเข้ามาชวนให้ซื้อของ แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง เราหันไปเจอถังติ่มซำอยู่มุมร้าน
เลยพยายามถามว่า ติ่มซำหรอ? ลุงก็พยักหน้าแล้วก็ชวนเดินไปเลือก พอจะถึงมุมติ่มซำเท่านั้นแหละ
ลุงดันพาเลี้ยวไปซ้ายออกไปข้างถนน พร้อมตะกร้าใส่ของทอดที่วางอยู่กะพื้น

ลุงเล่นกุแล้ววววววว 5555555 ไม่รู้จะทำไงต่อ
เออซื้อก็ซื้อ! ได้มาซึ่งกับแกล้มที่อร่อยมากก คล้ายๆนาโช่ กะแป้งทอดเค็มๆ

อาหารที่นี่ก็รสชาติทั่วไปธรรมดา แต่ราคาแอบแรงใช้ได้
ทั้งหมดนี่ประมาณ 20,000 จ๊าดแหนะ

เช้าถัดมา วันนี้เราจะเหมาแท็กซี่เที่ยวกันทั้งวัน
โดยใช้ Mr.Aung คนดีคนเดิมที่ใช้บริการแกตั้งแต่วันแรกที่มาถึง

แพลนวันนี้คือ จะไปเที่ยว Dee Dote Waterfalls ที่ห่างออกไปเกือบ 30 โลในตอนเช้า
ส่วนตอนบ่ายจะลุยเที่ยวในเมือง ปิดท้ายด้วยการไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกสวยๆที่มัณฑะเลย์ ฮิลล์
ราคาถูกดีลมาที่ 70,000 จ๊าด หารกันแล้วน้องรับได้ ราคามาตราฐานลุยค่ะ!

นัดกันไว้ตอน 7 โมงเช้า (ดีที่อาหารเช้าโรงแรมเปิดตั้งหกโมง)
หลังจากนั้นก็หลับยาว จนมาถึงน้ำตกตอนแปดโมงครึ่ง จากจุดจอดรถเราต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 20 นาที

Dee Dote Waterfalls
เป็นน้ำตกขนาดกลางๆ ที่มีสีฟ้านมอารมณ์แบบบลูลากูนสุดๆ
ด้วยความที่เรามาถึงเช้ามาก เลยทำให้กลายเป็นน้ำตกส่วนตัวไปเลย เริศมากก
มิสเตอร์อังบอกว่า ที่นี่แม้แต่คนพม่ายังไม่ค่อยรู้จักเลยนะ พวกเธอไปหาเจอกันได้ยังไงงง

ที่นี่มีห่วงยางให้เช่าด้วย อันเล็ก 1,000 จ๊าด อันใหญ่ 1,500 จ๊าด
ถ้าเราเดินป่าต่อเข้าอีกหน่อย จะเจออีกน้ำตกนึงค่ะ คล้ายๆกันแต่สวยคนละแบบ
เราไม่ได้ไปนะ แต่มีป้ายโชว์ไว้เพิ่งเห็นตอนเดินกลับ

หันไปด้านหลังนี่วิวแบบ โอโหหหห เหมือนว่ายอยู่ริมหน้าผา แล้วมีภูเขาโอบล้อมมม
แต่ความจริงถัดไปมันไม่สูงขนาดน้าน เป็นแค่น้ำบ่อน้อย บ่อใหญ่ให้ลงเล่นได้อีก
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันเกือบสองชั่วโมง หลังจากนั้นก็ต้องรีบเดินกลับลงมาข้างล่าง
เพราะว่าเดี๋ยวจะไปเก็บที่เที่ยวอื่นต่อไม่ทัน

Mingun :: เมืองมิงกุน
ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองมัณฑะเลย์ประมาณสิบกิโล สามารถนั่งเรือข้ามไปกลับก็ได้ แต่มีแค่วันละรอบเท่านั้น (ถ้าจำไม่ผิดคือเก้าโมงเช้ากลับประมาณบ่ายโมง) เรือใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงต่อรอบ เพราะแม่น้ำอิรวดีกว้างมากกกกกกกก

แต่ตัวเลือกที่สองแบบเรา คือการนั่งแท็กซี่ แต่ต้องนั่งย้อนขึ้นมาข้ามสะพานตรงแถวๆเมืองอังวะนะ
เพราะมีสะพานข้ามอยู่ตรงนี้แค่ที่เดียว เวลาก็พอๆกันแหละ แต่แท็กซี่เราไปเวลาไหนก็ได้

ที่มิงกุนต้องเสียค่าเข้าแยกจากมัณฑะเลย์เพิ่มอีกคนละ 5,000 จ๊าด
ที่เที่ยวหลักๆก็จะมีสามที่ด้วยกัน เริ่มจาก…

Mingun Pahtodawgyi, เจดีย์มิงกุน
เขาบอกว่ามันคือร่องรอยแห่งความทะเยอะทะยานของพระเจ้าปดุง ที่พยายามสร้างเจ้าเจดีย์นี้ออกมาให้ใหญ่มากกก
แต่สุดท้ายก็สร้างไม่เสร็จ แต่แค่นี้ก็ใหญ่มากแล้วนะ เมื่อก่อนเปิดให้คนเดินขึ้นไปข้างบนด้วย
แต่หลังจากแผ่นดินไหว ก็ให้เดินไปได้ถึงแค่ครึ่งทางเอง

Mingun Bell, ระฆังมิงกุน
เจดีย์ใหญ่ไปแล้ว ถ้าจะสร้างระฆังทั้งที มันก็จะน้อยหน้าไม่ได้นะเออ
และนี่จึงเป็นที่มาของระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลกกกกที่ยังสามารถใช้งานได้!

Hsinbyume Pagoda, เจดีย์ชินพิวเม
หรืออีกชื่อที่ได้รับการขนานนามก็คือ ทัชมาฮาลแห่งลุ่มแม่น้ำเอยาวดี
แต่เราไปที่นี่ตอนเที่ยงตรงพอดีค่ะ โหยยยยยย คือสวยจริงแต่ร้อนมากกก
ทุกอย่างคือเป็นสีขาวเกือบหมด ไฮไลท์คือไอ้ตรงลักษธคลื่นๆสีขาวที่มีล้อมตัวเจดีย์นี่แหละ

ที่นี่แนะนำว่าอย่ามาตอนเที่ยง เพราะแดดมันจ้า
จนถ่ายรูปออกมาไม่สวยเลยยย อีกอย่างต้องถอดรองเท้า
โอ้ยยยยย เท้าจะพองเอาาาา

หลังจากนั้นมิสเตอร์อังก็พากลับ
เข้าไปเที่ยวในเมืองมัณฑะเลย์กันต่อ
โดยเริ่มกันตั้งแต่ที่แรกคือ…

Mandalay Palace, พระราชวังมัณฑะเลย์
ที่นี่เป็นแลนด์มาร์คที่ตั้งโดดเด่นมีคูน้ำล้อมรอบอยู่กลางใจเมืองมัณฑะเลย์
ตามเดิมพระราชวังแห่งนี้ ถูกเผาโดยกองทัพอังกฤษตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ไหม้หมดจนเหลือแค่กำแพงเลยค่ะ
แต่ว่าพม่าก็ได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่ เราว่าเท่าที่เห็นนี่ก็สวยมากๆแล้วนะ

แต่เขาบอกกันว่า ของเดิมนี่สวยกว่านี้เยอะ!
อีกอย่างใครเป็นสาวกเพลิงพระนางนี่ห้ามพลาด จะอินมากกกก
ระหว่างที่เดินๆนี่ก็จะสั่นตัวไปด้วย เพราะจินตนาการว่าตัวเรานั้นนน นั่งอยู่บนเสลี่ยงจะไปหอคำเด้อ 555555

Shwenandaw Monastery, วัดชเวนันดอร์
วิหารที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ที่นี่เป็นที่เดียวที่เหลือรอดจากการถูกเผาค่ะ
เพราะฉะนั้นมันคือของแท้ดั้งเดิมมมม และอายุมากกว่าร้อยปี!
งานแกะสลักไม้เราไปยืนส่องดูใกล้ๆนี่แบบ สวยมากก แกะได้อ่อนช้อยอะไรขนาดนั้น

ปกติเป็นคนไม่อินกับอะไรแบบนี้
แต่ขอแนะนำเลยว่าห้ามพลาด สวยจริงๆ

ระหว่างถ่ายรูปอยู่นั้นน 1 2 3 ผ่างงง
เจ๊แกโผล่มาจากไหนไม่รู้ 5555555555555

Kuthodaw Pagoda & Sandamuni Pagoda,
วัดกุโสดอร์และเจดีย์สันตุมุณี

ทั้งสองวัดนี้จะคล้ายๆกันค่ะ มีการจำลองมหาเจดีย์ชเวสิกองที่พุกามไว้ด้วย
นอกจากนั้นก็จะมีพระไตรปิฎกจำนวน 84,000 พระธรรมขันธ์ ที่พระเจ้ามินดงสั่งให้จารึกลงบนหินอ่อน 729 แผ่น
ทำให้ที่นี่มีพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยยย

จุดเด่นคือเหล่าเจดีย์สีขาวๆที่ตั้งเรียงราย ครอบหินที่จารึกพระไตรปิฎกอยู่นี่แหละค่ะ
สวยมากกกก นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจ้างชาวบ้านแต่งตัวสวยๆ เข้ามาเดินถือร่ม เพื่อถ่ายรูปแบบจริงจังกันด้วย

และสุดท้ายเราจบโปรแกรมวันนี้ ด้วยการไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกบนมัณฑะเลย์ฮิลล์กัน
นี่เป็นอีกหนึ่งที่ ที่แนะนำว่าควรมาเป็นอย่างมากกก

Mandalay Hill,  มัณฑะเลย์ ฮิลล์
การขึ้นมาบนมัณฑะเลย์ฮิลล์ จะต้องเป็นรถแท็กซี่หรือรถสองแถวเท่านั้น หรือไม่ก็เดินค่ะ
คนพม่าส่วนใหญ่จะมาเดินมาวิ่ง ออกกำลังกายกัน

แล้วหลังจากนั้นพอถึงตัวมัณฑะเลย์ฮิลล์ เราจะเดินขึ้นลิฟต์ หรือบันไดเลื่อนขึ้นไปก็ได้
เหมือนเดิมค่ะ ที่นี่ยังคงเน้นเรื่องห้ามใส่สั้นและสายเดี่ยวเหมือนทุกที่ แต่ถ้าลืมจริงๆ มีผ้าถุงบริการ 1,000 จ๊าด
อีกอย่าง เก็บค่ากล้องคนละ 1,000 จ๊าดด้วย (กล้องโทรศัพท์ก็โดนนะ)

ตอนแรกดูเหมือนจะไม่มีอะไร
แต่นอกจากวิวรอบจะสวยแล้ว ตัวสถาปัตกรรมสิ่งก่อสร้าง
ก็สวยไม่แพ้กันเลยยย

(DAY6) วันกลับ
ก่อนจะร่ำลากับมัณฑะเลย์อย่างเป็นทางการ
เราสามคนตัดสินใจเดินฝ่าสายฝนไป Zegyo Market สถานที่ที่เป็นทั้งตลาดสดและ
ให้อารมณ์เหมือนโบ๊เบ๊ในคราวเดียวกัน ก่อนที่จะถึงเวลานัดแท็กซี่ไปสนามบินตอนแปดโมงครึ่ง

หกวันที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้หยิบเสื้อกันฝนออกมาใช้
ตอนแรกกังวลแทบตายว่าฝนต้องตกหนักตลอดทริปแน่ สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะ 5555

ที่นี่เหมาะมาก ถ้าใครอยากมาเดินดู
นั่งดูวิถีชีวิตของชาวพม่ากันแบบเรียลๆ

ของก็มีขายแทบทุกอย่าง ทั้งใบหมาก เครื่องเทศ แตงโม เนื้อสัตว์ ผ้าถุง
ทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นของที่เราต้องการนั่นก็คือของที่ระลึ๊กกกกกก 55555 อยากซื้อขนมถั่ว ชานมพม่า
กลับไปฝากที่บ้านบ้าง แต่หาไม่เจอเลยยยย

หลังจากนั้น เราก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อเช็คเอ้าท์ รอรถมารับนั่งไปวัดมหากันดายง
วันนี้มิสเตอร์อังไม่ว่าง เลยให้ ‘โคเมียว’ คนขับรถคนใหม่ที่รุ่นราวคราวเดียวกับเรามาแทน
ทุกอย่างดูจะโอเคมาก ติดอยู่อย่างเดียว โคเมียวพูดอังกฤษไม่ค่อยได้

แต่ไม่เป็นไร มิสเตอร์อังน่าจะบอกแพลนไว้แล้วแหละ ว่าก่อนไปสนามบินขึ้นเครื่องกลับ
ให้แวะที่วัดมหากันดายงดูภิกษุนับร้อยเดินเรียงกันเพื่อไปรับอาหารก่อน

Maha Gandayon Monastery, วัดมหากันดายง
วัดนี้เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในพม่า ตั้งอยู่ที่เมืองอมรปุระ
ช่วงเวลาที่ควรมาคือก่อนเก้าโมง เพราะจะมีภิกษุสงฆ์ สามเณร
และชีนับร้อยรูปเดินเรียงแถวกันเพื่อไปรับอาหารพระพุทธมหามุนีค่ะ

แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการมาที่วัดนี้ครั้งแรกของมิสเตอร์โคเมียว
แทนที่จะพาไปตรงบริเวณภิกษุสงฆ์ตั้งแถว สรุปมันพาไปตรงโรงทาน ที่ที่ญาติโยมพม่ามากินข้าวฟรีรอทำบุญกัน
มันดีลกับชาวบ้านให้เรียบร้อย สรุปจบที่เปิดโต๊ะนั่งกินข้าวฟรี (แต่มันไม่มานะมันบอกอิ่ม)

(โคเมียว คือหนุ่มเสื้อขาวที่เหน็บกระเบื้อง เอ้ย โทรศัพท์ไว้ที่โสร่งค่ะ)

เราก็พยายามจะบอกลุงพม่าว่าไม่กิน จะมาขอถ่ายรูปเฉยๆ
ลุงแกไม่สนใจพลิกจานข้าว ขวั่บ ตักข้าวให้ ฟรึ่บ
บอกไม่ต้องเติมแกง ทำหน้าเหมือนรู้เรื่อง
พอหันหลังเท่านั้นแหละรีบตักใส่ให้รัวๆๆจนจะล้นถ้วยแล้วลุงงงงง

อิโคเมียวยืนหัวเราะอยู่ประตู นี่เลยไปลากมันมานั่งโต๊ะ เมิงต้องมาชดใช้กรรมด้วยกัน
มันก็พยายามบอกลุงพม่า ว่าไม่กินๆๆอิ่มแล้วๆๆ
ลุงไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นอ่ะ พลิกจานข้าว พร้อมตักให้ไปสองทัพพี
ขนาดคนพม่าด้วยกันลุงก็ไม่เว้นเลย

สรุปนั่งกินข้าวฟรี กันอยู่สี่คน ละนี่เดินมาถ่ายรูปกับแก๊งค์ป้าแปปนึง
ยังไม่ทันลุก ป้าเดินมาเก็บจานข้าวแล้วจ้าาา บทจะอิ่มก็ให้อิ่มซะงั้นเลยอ่ะ 555555

สักพักชาวบ้านก็เรียกให้เราเดินตามไปตรงที่ตั้งแถวของภิกษุสงฆ์ค่ะ
รอเกือบประมาณยี่สิบนาทีก็เริ่มตั้งแถวกันครบ สามเณรเด็กจะค่อนข้างเยอะ ใครไม่สำรวม
ก็จะถูกหลวงพ่อเอาพัดเขกหัวเข้าให้ สักพักจะมีระฆังตี แล้วพระสงฆ์จำนวนกว่า 1,200 รูป ก็จะทยอยเดินเรียงแถวเข้าไปรับอาหารกันค่ะ

ญาติโยมพม่า นักท่องเที่ยวจะต้องยืนอยู่ข้างทาง
ห้ามไปเดินตัดแถวนะคะ อีกอย่างต้องทำตัวสุภาพและสำรวมมากๆด้วย เขามีกฎขึ้นป้ายเตือนไว้เลย
เรายืนเก็บภาพบรรยากาศอยู่สักพัก ก็ต้องรีบขึ้นรถไปสนามบินกลับไทยกันแล้วค่ะ

จบแล้ววววววววววววววว
สำหรับการเดินทาง 6  วัน 5 คืนที่พม่าของพวกเรา
สนุกแล้วก็ถูกกว่าที่คิดไว้เยอะเลย

อยากจะบอกว่า พม่า นี่เที่ยวง่ายพอๆกับลาว เวียดนามเลยค่ะ
แล้วก็ความจริงที่เที่ยวพม่ามีเยอะมากกก ไม่ได้น่าไปแค่เฉพาะชเวดากอง หรือทะเลเจดีย์พุกามเท่านั้น
กะลอว์ ย่างกุ้ง อินเล นาปาลี โอ้ยยยยเยอะมากลองหาข้อมูลกันดูค่ะ เป็นประเทศที่สวยงามทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และผู้คนเลย อีกอย่างไม่ต้องทำวีซ่าแล้วด้วยนะ

แนะนำเลยค่ะ ‘พม่า’อีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่น่าสนใจและน่าค้นหามากกกกกก

BUDGET 
– ค่าเดินทางระหว่างเมืองและในเมือง  7,058 บาท
– ค่าบัตรเข้าเมืองบังคับจ่าย  3,086 บาท
– ค่าที่พัก 5 คืน  3,876 บาท
– ค่ากินทั้งหมด 2,841 บาท
– ค่าจิปาถะ และค่าของฝาก = 1,811 บาท

หารแล้วค่าใช้จ่ายตกคนล่ะประมาณ 6,500 บาท
ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน เราจองโปรแอร์เอเชีย ไป-กลับสองพันกว่าบาท
จะเห็นได้ว่าค่าจิปาถะพวกเราเยอะมากกก เป็นทั้งค่าทิปแล้วก็พวกของฝาก
(ไปซื้อที่สนามบินราคาพุ่งกระฉูดดดด)

อีกอย่างทริปนี้ลำบากสุดคือ นั่งรถสองแถวขึ้นเขาแค่นั้นแหละ ที่เหลือสบายมาก
เช่าแท็กซี่ กินดีอยู่ดี นอนโรงแรมไม่ใช่โฮสเทลด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเขียมกว่านี้ประหยัดไปได้อีกเยอะเลย

TRICK & TIPS
เยอะมากกกกกกกกกกกกกกกก

✲ ซื้อซิมส์ เราซื้อของ ooredoo พร้อมเน็ต 3.5 gb ราคา 6,500 จ๊าด เหลือเฟือยันวันกลับ แต่แชร์เป็นฮอตสปอตไม่ได้นะอืดโครต
✲ แลกเงิน เราพกเงินดอลล่าร์ไปแลกที่สนามบินเลย สำคัญอยู่อย่างคือ ห้ามเก่าห้ามยับห้ามพับนะจ้าาา เขาเช็คทุกใบเลย!
✲ แท็กซี่ ราคามาตราฐานเข้าเมืองมัณฑะเลย์อยู่ที่ 15,000 จ๊าด (เหมานั่งได้ 4 คน) แต่ใครมาน้อยกว่านั้นก็นั่งแชร์มินิแวนคนละ 4,000 จ๊าด

✤ รวมๆก่อน 
– หาผู้ร่วมทริปสัก 3-4 คนจะเหมาะมาก พอดีแท็กซี่ หารค่าห้องค่าเดินทางมันจะคุ้ม
– เน้นอีกที ห้ามใส่สั้นและสายเดี่ยว ถ้าจะใส่ควรพกผ้าถุงไปเปลี่ยนตอนเข้าวัด ไม่งั้นเสียเงินเช่านะ
– คนพม่าที่เราเจอ แทบจะร้อยเปอร์เซนต์ใจดีมากกกกกกกกกกกกก
– พนักงานบริการดีจนคิดว่านี่จ่ายค่าที่พักสามหมื่นหรอวะ 5555555 (ความจริงจ่ายสามร้อย อิอิ)
– พกมาม่าไปด้วยกันไว้ เราเป็นคนกินง่ายแต่บางอย่างมันไม่ไหวจริงๆ
– ประหยัดค่าข้าว ด้วยการเลือกที่พักที่มีอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ฟรี
– รู้สึกว่า รถจะบีบแตรทุกสี่แยก (โดยเฉพาะพิลอูวิน)
– และจะบีบแตรทุกครั้งเป็นสัญญานว่า ฉันอยู่ข้างหลังแก ฉันจะแซงแกแล้วนะ
– ควรหลีกเลี่ยงการไปวัด วิหาร เจดีย์ช่วงเที่ยง เพราะมันจะร้อนมากก บางที่ต้องถอดรองเท้าเดินตินเปล่าตั้งแต่หน้าวัดอ่ะคิดดู๊ แล้วจะหงุดหงิดตามมาซึ่ง การรีบดู รีบไป รีบถ่ายรูป รูปออกมาไม่สวยอีกแดดจ้า เสียดายฮืออออ (สรุปเป็นอยู่คนเดียว5555)

✤ พุกาม
– ไม่แนะนำให้เช่าจักรยาน แต่ละเจดีย์ไกลมาก บางที่เป็นทรายขี่ลำบากและอากาศร้อนเดี๋ยวหมดแรง
– แว่น และครีมกันแดดสำคัญ แดดแร๊งแบบแผดเผาและกันฝุ่นเข้าตา
– เจดีย์ไหนถ้าคนรู้จักเยอะ ไม่ได้แปลว่าคนจะเยอะตาม บางที่มันอยู่ลึก คนที่ไปคนเดียวระวังด้วย
– แม่ค้าพ่อค้าตื้อเก่งมากๆว้อยยยยยยยยย ถ้าไม่เอาตีมึน เดินๆๆลูกเดียวอย่าสนใจ
– ที่พักแนะนำโซน Nyang U ถูกและรถบัสผ่านจอดส่งได้เลย พวกเจดีย์หลักๆไม่ไกลจากที่นี่ด้วย
– ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นควรออกจากที่พักสักประมาณ 05.45 น.
– ถนนขับไม่ยาก แต่แค่หลุมบ่อเยอะมากๆ
– ถนนที่เป็นทราย ระวัง!! นี่ล้มไปสี่รอบ ไม่รู้โง่หรือขับยาก
– เรียงลำดับวัด เจดีย์ที่จะไปก่อนเริ่มเที่ยว จะได้ไม่ขับวนเสียเวลา
– พกขวดน้ำเอาไว้ แต่ละวัดมีถังน้ำให้เติมตลอด (สะอาดและฟรี)
– ชาวบ้านที่มาชวนว่าไปตรงนู้นสิเจดีย์สวย คือบางที่มันสวยจริงแหละ เขาไม่ได้หลอกแต่ถ้าไปกับเขาน่าจะต้องให้ทิปด้วย
– มันจะมีพวกมอไซต์ที่ขับตามมาขนาบข้างชวนเที่ยวไรงี้ อันนี้เราว่าน่ากลัวไป ขอผ่าน
– ประวัติแต่ละที่โครตสำคัญนะ ควรอ่านมา! ดูรายการหนังพาไปก็ได้
– เจดีย์ วัด วิหารที่สวยๆมีอีกเยอะะะะะะะะ เสริชดูรูปแล้วลิสต์ไปเพิ่มเลย
– อีกที่ที่แนะนำ Mt.Popa เป็นวัดอยู่บนภูเขาสวยมากก แต่มันไกลจะต้องเช่าแท็กซี่ไป
– บอลลูนไม่ได้มีตลอดดดดดด มีเฉพาะช่วงหน้าหนาว ดูดีๆก่อนจองตั๋ว
– พุกาม ควรอยู่สัก 2-3 วัน (เอาให้คุ้มค่าตั๋วเข้าเมืองหน่อย)

✤ พิลอูวิน
– เรื่องถ่ายรูปสำคัญมาก!!!!! คนที่นี่เป็นมุสลิมบางคนเคร่งศาสนามาก เขาไม่ชอบให้ถ่ายรูป ทั้งตัวเขาเอง รวมไปถึงลูกหลานเขาด้วย ควรขออนุญาติก่อนจะเล็งกล้องไปเด้อ
– คนที่นี่แอบหน้าดุนิดนึง(ด้วยความหน้าแขก และแขกจริงๆก็อาศัยอยู่เยอะ) แต่ความจริงใจดีอยู่นะ เช่น ไปนั่งถ่ายรูปข้างกระบองเพชร มีป้าคนนึงเดินมาโวยวายๆชี้ๆ นี่ก็ตกใจสิคิดว่าไม่ให้ถ่าย แต่จับใจความได้สรุปบอกให้ระวังหนาม 555555555555
– โจเซฟบอกว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่มาจากปากีสถาน และบังคลาเทศ
– อาหารอินเดียใต้  กับอาหารข้างทางที่นี่น่าลองมากกกก มีคล้ายๆตลาดนัดขายของกินเยอะด้วย
– บ้านเรือน โบสถ์ ร้านค้าสีสันสดใส มีความกดชัตเตอร์รัวๆๆ
– น้ำตกใกล้ๆที่น่าไป Pwe Gauk กับ Dat Taw Gyaint ไกลออกมาหน่อยก็ Anisakan Falls
– มีสวนพฤกษาสตร์ Kandawgyi  ดังแต่ค่าเข้าแอบแรง
– อากาศดีตลอดปี ยิ่งหน้าหนาวนะหู้ยย
– เมืองนี้สตอเบอร์รี่ถูก (อ่านมาแต่ไม่ได้ลอง)
– ถ้ามีเวลาควรนั่งรถไฟเลยไป Hsipaw
– เมืองนี้เช่าจักรยานขี่เที่ยวในเมืองได้ ชิลๆ
– รถม้านางซินก็น่ารักกก ชั่วโมงละร้อยต่อคน

✤ มัณฑะเลย์
– ถ้าเที่ยวแค่โซนในเมือง แบบพวกวัดดังๆไรงี้ มันมีมอไซต์พ่วงสามล้อให้บริการด้วยนะ ประหยัดได้อีกเยอะแต่จะขึ้นมัณฑะเลย์ฮิลล์ไม่ได้ (อันนี้ปัญหาใหญ่เพราะมันสูงและชัน)
– เมืองสกาย อยู่ระหว่างมิงกุนและอังวะ เป็นอีกเมืองที่ดัง แต่พอดีเราดูรูปแล้วไม่ชอบบวกกับเวลาน้อย เลยไม่ได้ไปค่ะ (แต่วันแรกที่ไปอังวะมิสเตอร์อังจะขับพาไปด้วยนะ ใครไปแบบเราลองถามดูๆ)
– Nylon Ice-cream เป็นร้านของหวานที่น่าไปโดน แต่เราลืม! จดไปแล้วด้วย คิดได้ตอนเครื่องบินกำลังขึ้น
– โฮสเทลชิคๆที่น่าไปพักคือ Ostello Bello
– วัดในโซนเมืองมัณฑะเลย์มีสวยๆอีกหลายวัดเลยยยย ลองเสริชและลิสต์ไปเพิ่ม
– สะพานอูเบ็ง พระอาทิตย์ตกควรไปสักประมาณ 4-5 โมงเย็น เพื่อเวลาไปเดินเล่นสะพานด้วย

______________________________________________________________

ตามไปอ่านการเดินทางฉบับๆเต็มทั้งสามพาร์ทได้ตามนี้เลย

Part 1 >>> แว๊นซ์มอไซต์ฝ่าทะเลเจดีย์ ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ‘พุกาม’
Part 2 >>> แวะ ‘พิลอูวิน’ เมืองพม่ากลิ่นอายแขก สู่การนั่งรถไฟผ่านสะพานที่สูงที่สุดของพม่า
Part 3 >>> นั่งรถม้าชมราชธานีเก่า เดินเล่นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก ลอยห่วงยางในบลูลากูนที่ ‘มัณฑะเลย์’
( รายละเอียดค่าใช้จ่าย / ทริคเล็กๆน้อยๆในแต่ละเมืองอยู่พาร์ทสุดท้ายนะจ๊ะ )

Share the Post:

Related Posts

Land of Mountain and Meadows ‘New Zealand’ : ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์สัมผัสธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่แห่งเกาะใต้

อยากเกิดเป็นแกะที่นิวซีแลนด์ ประโยคนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่ เพราะหลังจากได้ไปเห็นด้วยตาเนื้อมาแล้วน้านนน  บอกเลยว่าถ้าชาติหน้าต้องเกิดเป็นแกะ แพะ วัว หรือเป็ด เราขอปักหมุดโลเคชั่นเป็นที่นี่แล้วกัน ยอมนอนเล็มหญ้าชิลๆ ก่อนโดนเชือด อย่างน้อยถ้าจะขิต

Read More

WEST COAST ROAD TRIP : ขับรถตะลุยอเมริกาฝั่งตะวันตก เก็บรวด 4 รัฐ CALIFORNIA / NEVADA / ARIZONA / UTAH

หลังจากอดเดินทางไปต่างประเทศเกือบสองปี ในที่สุด! เราก็ได้ออกเดินทางกันอีกครั้ง จุดหมายครั้งนี้คือ ‘อเมริกา’ อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าความอลังการของธรรมชาติที่นู่นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน สถานที่ที่บอกว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ นี่มันจะขนาดไหนกันเชียววว ทริปนี้เลยจัดไปเน้นๆ 43

Read More