DAY 3
รถมินิแวนคันเล็กๆ พาเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ยิ่งขับขึ้นสูงก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ อากาศดีจนแทบไม่ต้องเปิดแอร์ วิวข้างทางเต็มไปด้วยไร่ชานับพันไร่บนทิวเขาเรียงราย คนขับพาหยุดรถริมถนนให้เราแวะถ่ายรูปกับไร่ชา สักพักก็จะมีชาวบ้านใส่ชุดสาหรี่สีสันสดใสมายืนทำท่าเด็ด พร้อมจบท้ายด้วยการขอเงิน 5555
แต่แวะไร่ชาอย่างเดียวมันยังไม่จุใจ คนขับเลยพาไปต่อ Blue Field Tea Factory โรงงานผลิตชาซีลอนขนาดใหญ่ ที่เราจะได้ไปเห็นวิธีการผลิตชาทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ เก็บ อบ ตาก หั่น ยันคัดแยกใบชา ซึ่งฟรี! แถมยังมีคาเฟ่ให้ได้นั่งจิบชาหอมๆ พร้อมซื้อชากลับไปฝากที่บ้านด้วย
และแล้วเราก็มาถึง ‘นูวาราเอลิยา’ (Nuwara Eliya) เมืองบนเทือกเขาสูงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกชาซีลอนระดับโลก เมืองนี้เขามีชื่อเล่นว่า Little England เพราะเคยถูกปกครองโดยอังกฤษอยู่ช่วงนึง ส่งผลให้บ้านเรือนที่นี่เป็นสไตล์วิคตอเรียนสุดน่ารัก แล้วก็ยังมีพวกสวนสาธารณะ สนามม้า ทะเลสาบ แถมอากาศเย็นตลอดทั้งปี บรรยากาศคล้ายๆ เมืองตากอากาศในยุโรปเลยล่ะค่ะ
เราจองที่พักเป็นบ้านสามเหลี่ยมสุดเท่อยู่บนเนินเขาผ่าน Airbnb บรรยากาศดีมากกกและเจ้าของเฟรนด์ลี่สุดๆ เราเรียกตุ๊กตุ๊กให้พาไปส่งไว้ในเมือง แล้วก็เดินเล่นในสวน Victoria Park เลาะออกไปแถวทะเลสาบ Lake Gregory ใจกลางเมือง บรรยากาศเย็นสบาย เดินได้ชิลๆ ไม่เหนื่อยเลย ที่นี่นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว คนศรีลังกาก็มาเที่ยวเองเยอะมากๆ เหมือนกัน
DAY 4
วันนี้เราออกแต่เช้ากันเหมือนเคย มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ Nanu Oya Station เป็นสถานีรถไฟที่อยู่นอกเมืองห่างออกไปราว 15 นาที เรารีบมาแต่เช้าเพื่อซื้อตั๋วรถไฟหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่สวยในโลก นั่นก็คือ Kandy – Nuwara Eliya – Ella รูทเส้นทางรถไฟสุดฮอตแห่งศรีลังกา ที่จะพาเราผ่านไร่ชา กาแฟนับพันไร่บนเนินเขาสูงๆ รายล้อมไปด้วยธรรมชาติเขียวๆ ซึ่งถ้านั่งแบบรวดเดียวใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงเต็มๆ
ตั๋วรถไฟจะไม่ได้ระบุที่นั่ง และเนื่องจากเป็นเส้นทางรถไฟยอดฮิต พอรถไฟจอดสนิทนิ่งกับชานชาลา เราต้องรีบพุ่งตัวขึ้นไปหาที่นั่งเลยทันทีนะคะ สงครามนักท่องเที่ยวและชาวบ้านถือบังเกิด เพราะไม่งั้นเดี๋ยวได้ยืนยาวๆ 555555 (นี่มัวไปนั่งจิบชากินขนมปังในสถานีเพลิน รถไฟมาเกือบวิ่งไม่ทัน)
ซึ่งด้วยเวลาที่จำกัดบวกกับกลัวนั่ง 7 ชั่วโมงยาวๆ แล้วเบื่อ เราเลยตัดสินใจสับออกครึ่งทาง กลายเป็นนั่งรถจาก Kandy – Nuwara Eliya ไปแทน พักหนึ่งคืน แล้วค่อยต่อด้วยนั่งรถไฟจากเมือง Nuwara Eliya – Ella ซึ่งจะเหลือใช้เวลาแค่ 4 ชั่วโมง ตากลมชมวิว (แดดจ้าบ้างเล็กน้อย) แต่รับประกันความสวยงามระหว่างทาง 10/10 ไปเลยค่ะ ยิ่งช่วงที่เราไปเป็นหน้าฝน อากาศหนาว หมอกลง ฟินโครตตต
‘เอลล่า’ Ella เป็นเมืองเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาและไร่ชา ที่พักของเราคืนนี้อยู่บนเขาเช่นเคย (เน้นวิวไม่เน้นอยู่ใจกลางเมือง 555) มีชื่อว่า Ella Hide View เป็นที่พักวิวหลักล้านในราคาหลักร้อยที่บอกเลยว่าคุ้มค่าโครตๆ วิวจากระเบียงห้องมองไปคือเห็นภูเขาแบบเต็มๆตาๆ ฝั่งซ้ายคือ Little Adam’s Peak ฝั่งขวาคือ Ella Rock พร้อมทะเลหมอกหนาๆ ที่ค่อยๆไหลผ่านช่องเขาตรงกลาง
ซึ่งเขาทั้งสองลูก Little Adam’s Peak และ Ella Rock เป็นเส้นทางยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมา Trekking กัน เอาว่ะแม้จะไม่ชอบเดินแต่ลองสักหน่อยล่ะกัน เราเลือก Little Adam’s Peak เพราะอ่านข้อมูลมาว่าเดินง่ายกว่า แต่เดินจริงลมก็แทบจับอยู่นะ 55555
และที่น่าแค้นกว่านั้นคือหมอกหนามาก มากจนขึ้นไปแล้ว มอง! ไม่! เห็น! อะ ไร! เลย! แม่งเง้ยย เศร้ามาก เลยมีภาพมาให้ทุกคนดูเท่านี้ เหนื่อยฟรี ใครจะไปเช็กสภาพอากาศกันดีๆ ด้วยนะคะ
และห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง! Nine Arch Bridge สะพาข้ามทางรถไฟที่อยู่ท่ามกลางไร่ชาใกล้ๆ กับเมืองเอลล่า ซึ่งวิธีการไปมีสองแบบคือ เดิน กับ นั่งรถตุ๊กตุ๊ก เราเช่ารถใหญ่มาเพราะต้องไปเมืองอื่นต่อ เลยไปทางที่ตุ๊กตุ๊กเขาไปกันปกติไม่ได้ คนขับเลยจอดส่งตรงไหนสักที่ก็ไม่รู้ แต่เดินมาตามทางจะโผล่ที่คาเฟ่ตรงข้ามอุโมงค์พอดี วิวสวยไปอีกแบบ ( ส่วนวิธีการมาอื่นๆ ดูได้ที่นี่ https://www.saltinourhair.com/sri-lanka/nine-arch-bridge-ella/ )
ก่อนมาเช็กตารางรถไฟกันให้ดีนะคะ เพราะสะพานรถไฟจากเดิมที่ว่าสวยแล้ว ยิ่งถ้ามีรถไฟขบวนสีสันสดใสขับผ่านตัดกับธรรมชาติเขียวๆ รอบด้าน ยิ่งสวยยยขึ้นไปอีกกก
