DAY 5
ไปต่ออย่าได้หยุดกับเมืองถัดไป ‘อูดาวาลาเว’ Udawalawe พวกเราออกแต่เช้าและเหมารถกันอีกเช่นเคย เพราะระหว่างทางเราจะแวะเที่ยว Diyaluma Falls น้ำตกที่สูงที่สุดอันดับ 2 ของศรีลังกา ถ้าจะให้ดีจ้างไกด์ชาวบ้านพาขึ้นลงเถ๊อะะะ เขามีบริการอยู่แถวหน้าน้ำตกประมาณ ขึ้นชื่อว่าสูงอันดับสอง ก็คิดเอาไว้แล้วว่าคงต้องเหนื่อย แต่พอเดินจริงคือโครตของโครตเหนื่อยยยย แยกไม่ออกเลยว่าที่ไหลบนหน้านี่เหงื่อหรือน้ำตกเลย ใช้เวลาขึ้นลงเกือบ 3 ชั่วโมง แนะนำรองเท้าผ้าใบเท่านั้นนะคะ
และบุญมีแต่กรรมบังอีกแล้ว ขึ้นไปถึงน้ำตกปุ๊บฝนตกจ้า ตกแบบหนักมากๆ โผล่ไปถ่ายรูปได้นิดหน่อย แล้วก็ต้องมาหลบอยู่ในเพิงร้านค้าของชาวบ้าน สุดท้ายดูท่าจะหยุดตกยากเลยต้องเดินลงทั้งที่ฝนยังปรอยๆ รูปอด รองเท้าพัง กล้องพัง คุ้มมั้ยเนี่ยยยย
สุดท้ายเราก็หอบสารร่างพังๆ แบบเปียกปอนมาถึง Athgira River Camping ที่พักสไตล์แคมป์ปิ้งกลางป่าสุดน่ารักของเราแห่งเมือง Udawalawe จนได้ ลืมความเหนื่อยของวันนี้แบบหมดสิ้นเพราะที่พักน่ารักมากจริงๆ แถมมื้อเย็นที่รวมอยู่ในราคาห้องพักเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ BBQ สุดหรู แต่เสียอย่างเดียวไม่มีแอร์ มาช่วงหน้าฝนก็จะมีความอบอ้าวหน่อยๆ
DAY 6
‘อูดาวาลาเว’ Udawalawe เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของศรีลังกา ที่เป็นประตูสู่ Udawalawe National Park อุทยานแห่งชาติที่สร้างขึ้นให้เป็นที่หลบภัยของสัตว์ป่าที่ถูกพลัดถิ่นจากการสร้างอ่างเก็บน้ำ อุทยานนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีช้างป่าอยู่เยอะมากกก นั่นแสดงว่าเราจะมีโอกาสเห็นได้มากกว่าเดิม! ไม่ใช่แค่ช้างป่า แต่รวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ ด้วย ( ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไป Yala National Park เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่อันดับสองของศรีลังกา แต่เดือนที่เราไปอุทยานยังไม่เปิด เลยมาอันนี้แทนแถมใกล้กว่าด้วย )
และไฮไลท์เด็ดของเมืองนี้นั่นก็คือ Safari Tour การนั่งรถจิ๊ปเปิดประทุนขับเข้าไปในอุทยานเพื่อดูสัตว์ป่าแบบใกล้ๆ ตื่นเต้นมากกก นี่เป็นครั้งแรกของเราเลยกับประสบการณ์ส่องสัตว์แบบซาฟารี สำหรับค่าทัวร์รวมอยู่ในราคาห้องพักแล้วนะคะ ตกคนละประมาณ 1,800++ บาท ( ที่พัก + อาหารเช้าและเย็น + ทัวร์ )
รถจิ๊ปมารับเราที่โรงแรมตั้งแต่เช้า ขับผ่านเขื่อนตอนพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก พอไปถึงหน้าอุทยานก็จะมีไกด์โดดขึ้นมาบนรถเราอัตโนมัติ แล้วก็ค่อยๆ ต่อแถวเรียงคิวเข้าอุทยานกันไป ขับไปตามเส้นทางบ้าง ออกนอกเส้นทางบ้าง สนุกสุดๆ เจอสัตว์เยอะมากกกใครจะจองแค่ที่พักแล้วไปซื้อทัวร์ซาฟารีแยกเอาก็ได้นะคะ มีหลายบริษัทเลย มีทั้งแบบเต็มวัน 3 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมงก็มี
หลังจากจบทัวร์เราก็เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม ให้เขาไปส่งที่ Udawalawe Junction เป็นสถานีรถเล็กๆ นั่งรถสาธารณะไปลง Embilipitiya Station สาถนีรถขนาดใหญ่ เพื่อต่อรถอีกครั้งนึงไปเมือง Weligama
DAY 7
เมืองเล็กๆ ติดริมทะเล ‘เวลิกามา’ Weligama ที่นี่เป็นจุดหมายสุดฮอตของเหล่านักโต้คลื่นทั้งหลาย เพราะนอกจากหน้าหาดยาวๆ ที่เล่นเซิร์ฟได้แบบหนำใจ ที่นี่ยังเต็มไปด้วยคาเฟ่สุดชิค ร้านอาหารน่ารักๆ สไตล์บาหลี พร้อม Surf Shop และ Surf School อีกเพียบ
แต่สำหรับสายกินแบบเรา สิ่งที่แฮปปี้ที่สุดเห็นจะเป็นแผงขาย Seafood ริมถนนของหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ ที่พอตอนเช้าออกไปหาปลาเสร็จปุ๊บ กลับฝั่งมาตอนเย็นก็ตั้งแผงขายปั๊บ เรียกได้ว่าสดมาก แถมราคาก็ถูกมากด้วย!
DAY 8
‘เวลิกามา’ Weligama เป็นเมืองตรงกลางระหว่าง Galle และ Marissa เราเลยเลือกที่จะนอนอยู่นี่ทั้งหมด 2 คืนถ้วนที่โฮสเทล The Spindrift กะว่ามาชิลๆ อาบแดด เล่นเซิร์ฟ ซึมซับความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรอินเดียสักกะหน่อย สุดท้ายฝนตกพายุกระหน่ำไม่รู้ว่าโกรธอะไรมา เล่นเอาซะถนนน้ำท่วมตั้งแต่เมื่อวาน
ดีที่ช่วงบ่ายวันนี้ฝนหยุดตกแปปนึง เราเลยรีบโบกตุ๊กตุ๊กไป Coconut Tree Hill เที่ยวหาดที่เมือง Marissa พอหอมปากหอมคอ ก่อนฝนจะโปรยมาอีกรอบจนต้องรีบกลับไปนอนเปื่อยๆ อยู่โฮสเทลเหมือนเคย