TEACHER’S DIARY : บันทึก ‘คิดถึงวิทยา’ ครูอาสาบนโรงเรียนเรือนแพ

ช่วงปีก่อนเราอินกับงานอาสามาก พอมีเวลาว่างก็พยายามสมัครไปลองทำนู่นทำนี่อยู่เรื่อยๆ ทั้งฟาร์มสัตว์ โฮสเทล มิวเซียม แต่ไม่เคยลองเป็นครูอาสามาก่อนเลย ความจริงอยากลองนะ ถ้ามันเป็นอาสาแบบใช้แรงงานเนี่ย ถึงไหนถึงกัน แต่พอบอกว่าต้องไปเป็นครู เราก็คิดภาพตัวเองสอนหนังสือไม่ออกจริงๆ กลัวสอนน้องได้ไม่ดี พอเจอที่ไหนเปิดรับสมัคร ก็จะลังเลแล้วลงเอยด้วยเการเลื่อนผ่านตลอด

จนกระทั่งไปเจอโพสต์ของเพจ โรงบ่มอารมณ์สุข ที่กำลังหาครูอาสาไปช่วยสอนบนโรงเรียนเรือนแพ โอ้โหหหห แกเข้าใจติ่งหนังเรื่องคิดถึงวิทยาป่ะ ครูสอง ครูแอนเงี้ย คือเราว่าเราก็ไม่ได้จะชอบหนังขนาดนั้นนะ แต่มานับแล้วคือดูไปไม่ต่ำกว่าสี่รอบอ่ะ ถ้าบังเอิญเปลี่ยนช่องเจอก็นั่งดูจนจบตลอด 555555

พออ่านคุณสมบัติเห็นเขาบอกว่า ไม่ต้องรักเด็กมากแต่อยู่กับเด็กได้ + ไม่ได้เรียนหรือจบด้านครูมาก็เข้าร่วมได้ งั้นเอาว่ะ ลองดูสักหน่อย! และนี่คือประสบการณ์ตลอด 5 วัน 4 คืน กับการไปเป็นครูอาสาครั้งแรกที่ โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร (สาขาเรือนแพ) อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน 🙂

ก่อนเดินทาง

หลังจากรู้ว่าเราได้เป็นหนึ่งในแก๊งค์ครูอาสาแล้ว ทางโครงการจะมีนัดประชุมก่อน ซึ่งทุกคนต้องมา! เพราะมันสำคัญมาก นอกจากจะมาทำความรู้จักคนอื่นๆ ที่จะร่วมหัวลงท้ายไปด้วยกันในทริปนี้แล้ว เรายังต้องมาวางแผนแบ่งหน้าที่ว่าใครจะสอนวิชาอะไร สอนชั้นไหน เดินทางยังไงกัน และคิดเมนูอาหารในแต่ละวันที่จะทำกินกับน้องๆ ด้วย

โรงเรียนที่เราไปไม่มีสัญญาณมือถือทุกเครือข่ายนะคะ แถมเราจะไปอยู่ยาวกันห้าวันรวด เรียกได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอกสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นต้องเตรียมทุกอย่างไปให้พร้อม ถ้าเข้าไปแล้วเราจะออกมาอีกทีก็วันกลับเลย 

อีกทั้งครั้งนี้จะยุ่งยากหน่อย เพราะนี่เป็นครูอาสาวันธรรมดากลุ่มแรกที่มายาวห้าวันติด และมาแบบไม่มีพี่เจ้าของโครงการมาด้วย (ปกติเขาจะจัดแค่เสาร์อาทิตย์ และมีพี่มาช่วยดูแล) พูดง่ายๆ ก็คือ เราต้องเดินทางไปที่โรงเรียนกันเอง โดยพี่เขาติดต่อประสานงานรถ เรือและครูประจำโรงเรียนเตรียมไว้ให้เบื้องต้น

DAY 1

เราเดินทางด้วยรถทัวร์มาถึง ตลาดสดลี้ กันตั้งแต่ตีห้า ถึงปุ๊บก็แบ่งออกเป็นสามกลุ่มปั๊บ เพื่อแยกย้ายกันไปหาซื้อวัตถุดิบในตลาดตามที่ลิสต์มา และกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อขึ้นรถสองแถวที่นัดเอาไว้ตอนเจ็ดโมงเช้า นั่งต่อไปอีกเกือบชั่วโมง คนขับก็จะพาเราไปส่งไว้ที่ท่าเรือแก่งก้อในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง และต้องนั่งเรือต่อเข้าไปอีกหนึ่งชั่วโมง

ในที่สุดเราก็มาถึงโรงเรียนบ้านก้อจัดสรร โรงเรียนเรือนแพขนาดกลางๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมเขา รายล้อมไปด้วยธรรมชาติแบบสามร้อยหกสิบองศา เงยหน้าก็ท้องฟ้า มองไปรอบๆ ก็เป็นผืนน้ำ และทิวเขาตั้งเรียงราย นี่เป็นโรงเรียนที่วิวสวยที่สุดเท่าที่เราเคยไปเลย!

ที่นี่เป็นโรงเรียนกินนอน ผู้ปกครองจะมาส่งเด็กๆ วันจันทร์แล้วค่อยรับกลับบ้านอีกทีวันศุกร์ มีนักเรียนอยู่ทั้งหมดหกคนด้วยกัน นั่นก็คือ โมโม่ อาร์ต : อนุบาลสอง / อิงดอย ป.1 / ริว : ป.สาม / โชคและพี ป.หก (แต่วันแรกที่เราไปถึงน้องยังมาไม่ครบนะคะ ขาดอาร์ตและริว) รวมถึงมีครูประจำโรงเรียนอยู่หนึ่งคนถ้วน ซึ่งก็คือ ‘ครูน้อย’ บุคคลที่เป็นทุกอย่างตั้งแต่คุณครู ภารโรง แม่ครัวทำอาหาร ยันพาเด็กๆ เข้านอน เรียกว่าทู้กกกอย่างจริงๆ 

สำหรับวันแรกกิจกรรมยังไม่มีอะไรมาก ตั้งใจมาละลายพฤติกรรมทำความรู้จักกับน้องๆ กันก่อน แล้วก็เอาวัตถุดิบที่ซื้อจัดเข้าห้องครัว จับจองห้องนอน หมอน มุ้ง และเหล่าครูก็ตกลงกันเองว่าพรุ่งนี้ใครจะพาเด็กๆ ไปนั่งเรียนตรงไหนบ้าง ซึ่งทั้งโรงเรียนจะมีทั้งหมดสี่แพด้วยกันค่ะ แบ่งเป็นแพหลวงตา แพห้องเรียน แพเสาธง และแพห้องครัว

ใครอยากนอนตรงไหน สอนตรงไหนก็ทำได้เลยตามสบาย แต่เวลาที่ไม่มีครูอาสามาช่วยเนี่ย ครูน้อยก็จะพาเด็กทุกคนไปเรียนรวมกันที่ห้องเรียนแพกลางค่ะ

DAY 2

กิจวัตรประจำวันหลักๆ ของเราที่นี่ คือต้องตื่นก่อนตีห้าครึ่งเพื่อลุกมาทำมื้อเช้าทุกวัน (แล้วแต่ว่าใครโดนจัดอยู่มื้อไหน บางคนได้เวรมื้อกลางวันก็ตื่นสายได้ แต่เท่าที่ผ่านมาคือถ้าใครว่างก็จะผลัดๆ มาช่วยกันตลอด)

สักประมาณเจ็ดโมงก็เริ่มจัดโต๊ะเตรียมกินข้าว เด็กๆ จะพาท่องข้าวทุกจานอาหารทุกอย่างก่อนกิน บางวันอิงดอยก็เป็นคนนำ บางวันอิงดอยก็งอแงไม่อยากนำ โมโม่ต้องท่องแทน บางวันก็ไม่มีใครอยากท่องเลยจนครูน้อยต้องบังคับ เรียกได้ว่ากว่าจะได้กินข้าวแต่ละมื้อ ทุลักทุเลกันพอควรค่ะ 5555555

หลังจากกินข้าวเสร็จก็พากันล้างจาน แล้วเด็กๆ ก็ไปเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนเตรียมพร้อมมาเคราพธงชาติตอนแปดโมงตรง ตามด้วยนั่งสมาธิเรียกสติกันสักหน่อย ก่อนพี่ๆ จะแยกย้ายเริ่มทำการสอนวันแรก!

เรา ปริม และเมย์ เพื่อนครูอาสาอีกสองคนได้รับหน้าที่สอนน้องริว วิชาหลักๆ ที่จะสอนมีคณิต อังกฤษ ไทย วิทย์ และศิลปะ โดยครูน้อยและพี่เจ้าของโครงการแนะนำมาว่า ควรเตรียมเนื้อหามาแบบไม่ต้องวิชาการจ๋า เน้นเฉพาะเรื่องสำคัญๆ หรือความรู้ที่น้องสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อได้เป็นหลัก

เราเลยเตรียมตัวกันมาเยอะม๊ากกก เพราะไม่รู้ว่าพื้นฐานน้องได้มากน้อยแค่ไหน เคยเรียนอะไรกับครูอาสากลุ่มที่ผ่านๆ มาไปแล้วบ้าง นี่ก็เลยขนมาทั้งแบบฝึกหัด หนังสือ บทเรียนและอุปกรณ์อีกเพียบ เพราะกลัวว่าจะซ้ำเลยต้องมีเผื่อเลือกเผื่อเหลือ จะไปเสิร์ชเน็ตหาเอาหน้างานก็ไม่ได้ แต่ละคนก็เลยจัดเต็ม

สอนไปไม่ทันไร ก็มีเสียงเครื่องยนต์เรือแล่นเข้ามา เด็กๆ ก็จะวิ่งไปกรูกันไปที่แพกลาง เพราะเป็นสัญญานว่ามีนักท่องเที่ยวนั่งเรือแวะมาเยี่ยมจ้า ทุกคนรู้งานดีมากกก รีบวิ่งมาช่วยจับเรือ ต้อนรับ พาเดินทัวร์ จริงๆ ที่นี่ถ้าใครมานั่งเรือเที่ยวเฉยๆ ก็สามารถแวะเข้าเยี่ยมโรงเรียนได้ด้วยนะคะ (ติดต่อครูน้อยล่วงหน้า) เรามาอยู่ห้าวันมีเข้ามาประมาณ 4-5 กลุ่มแหนะ 

สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงเวลาพักกินข้าวกลางวัน หลังกินเสร็จก็เป็นช่วงเบรค ครูและเด็กๆ ก็จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน แล้วค่อยกลับมาเริ่มสอนอีกครั้งตอนช่วงบ่าย เอาจริงๆ แล้วไม่ได้แยกกันเท่าไหร่หรอกค่ะ 55555 อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหากิจกรรมทำกัน ไม่ว่าจะเป็นตีแบต ตกปลา เล่นเกมโน่นนู่นนี่

ถึงจะอยู่แบบแพแบบนี้ แต่ก็มีอะไรทำให้ทำเยอะเหมือนกันนะ

พอเริ่มคาบบ่ายกลุ่มเราคุยกันว่า ดูจากทรงแล้วน้องริวน่าจะไม่ชอบเรียนวิชาการ เพราะคณิตแก้โจทย์ ไทยหัดสะกดคำมาเมื่อไหร่ น้องจะอิดออด ก้มหน้า และหาวเหมือนง่วงนอนตลอด 5555 วิชาศิลปะก็เลยต้องรีบเข้ามาแทรกก่อนน้องจะเบื่อไปมากกว่านี้

เราเลยเอาวิชาคณิตเรื่องรูปทรง มาผสมกับวิชาศิลปะให้น้องต่อเลโก้ เอาเรขาคณิตมาวาดเป็นฉากหลังตามจินตนาการ ระหว่างเรียนก็จะมีโมโม่ เด็กน้อยอนุบาลสองสุดแสบ ไม่ก็อิงดอยวิ่งหนีครูตัวเองมาดูบ้าง ได้ยินเสียงโมโม่กับอิงดอยทะเลาะกันบ้าง สองคนนี้คือเป็นพี่น้องกันนะคะ ค่อนข้างจะตีกันตลอดเวลา ทุกวันเราจะได้ยินเสียงใครคนใดคนหนึ่งร้องไห้ลอยมาเป็นระยะๆ

บ่ายสามโมงครึ่งก็ถึงเวลาเลิกเรียน นี่คือช่วงที่ทุกคนรอคอยทั้งครูและเด็ก ใครที่อยู่เวรอาหารเย็นก็จะเตรียมตัวไปหั่นผักทำกับข้าว ส่วนคนที่เหลือว่างๆ ก็จะไปหยิบชูชีพ เอาเรือคายัคไปพาย หรือไม่ก็กระโดดน้ำเล่นกับเด็กๆ มีความสุขมากกกก

หลังจากเล่นเสร็จซักประมาณห้าโมงเย็น ทุกคนก็จะช่วยกันกวาดและถูโรงอาหารเพื่อเริ่มตั้งโต๊ะกินข้าว บางวันอาจจะเลทกว่านี้หน่อยขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเมนูแต่ละวัน หรือบางทีก็ลาภลอย เพื่อนครูอาสาตะโกนทักทายชาวบ้านที่ขับเรือผ่าน ลุงแกก็ดั๊นใจดีแวะเอาปลาที่จับได้มาให้ฟรีๆ ซะงั้น ลาภปากกันทั้งโรงเรียน (รวมแก๊งค์เจ้าแมวสามตัวด้วย)

จบมื้อเย็นก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ กางมุ้งใครมุ้งมัน แต่ในเมื่อเราไม่มีเน็ตให้เล่น นอนตั้งแต่หัวค่ำก็จะเร็วเกินไป กิจกรรมภาคดึกส่วนใหญ่ก็จะเป็นจับกลุ่มตั้งวงคุยกัน เล่นบอร์ดเกมกับน้องๆ ไม่ก็ครูน้อยหยิบกีต้าร์ขึ้นมาช่วยกันร้องเพลง บางวันเพลินหน่อย ก็นั่งคุยกับครูน้อยยาวยันตีสองโน่นนน

DAY 3

และในที่สุดนักเรียนคนสุดท้ายก็มาถึง ใช่ค่ะ! วันที่สามแล้วตัวละครลับเพิ่งอีกหนึ่งหน่วยเพิ่งโผล่มา นั่นก็คือ อาร์ต เด็กน้อยอนุบาลสามหน้าตาจิ้มลิ้มที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า แสบมากกก แสบกว่าโมโม่! ( โมโม่นี่บอกเลยว่ากุมขมับ ครูน้อยถึงกับต้องตั้งกฏว่าถ้าร้องไห้เกินสี่ครั้ง จะอดเล่นน้ำตอนเย็น)

ทันทีที่อาร์ตขึ้นมาบนแพปุ๊บ น้องก็ต้องรีบคว้าเสื้อชูชีพคู่ใจขึ้นมาใส่ทันที เพราะว่าชอบวิ่งเล่นค่ะ วิ่งไปแพนู้นแพนี้ สลับกันไปมา บางครั้งก็วิ่งเพลินเลยแพจนตกน้ำ 555555555 ครูน้อยเลยต้องบังคับให้ใส่เสื้อชูชีพตลอดเวลาที่อยู่โรงเรียน

การสอนวันนี้ก็ยังคงเข้มข้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือริวสนุกกับการทำโจทย์เลขเพิ่มมากขึ้น จริงๆ น้องบวกเลขเก่งเลยนะคะ แต่ยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ ชอบหันมาถามว่าทำถูกมั้ย ครูทั้งสามคนที่ตอนแรกว่าจะผลัดกันสอนชิลๆ กลายเป็นมายืนลุ้นให้กำลังใจน้องตลอด พอน้องทำถูกก็เฮกันลั่น

ขอฝากไว้หน่อยเพื่อใครที่ได้มาสอนน้องริว น้องไม่ชอบความกดดันนะคะ อย่างเช่นให้แข่งกันคิดเลข หรือทำโจทย์ภายในเวลาเท่านี้ บลา บลา บลา อันนี้น้องจะไม่อยากทำเลย แนะนำว่าให้เปลี่ยนวิธีพูดเป็นแบบ เอาเท่าที่ไหว ผิดไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำนะงี้

รวมถึงพวกภาษาไทยการสะกดคำน้องยังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ พยายามหยิบเอาเรื่องใกล้ตัวมาช่วยสอน อย่างตอนเราสอนใยกตัวอย่างว่า ย่า ไป หา ครู น้องก็จะงงว่า ทำไมย่าต้องไปหาครู ย่าต้องไปหาปู่สิอะไรแบบนี้เป็นต้น 555555

ช่วงบ่ายๆ เป็นเวลาที่เริ่มง่วงๆ ซึมๆ กันทั้งนักเรียนและครู ก็อากาศมันดีอ่ะเน๊อะ ครูน้อยก็จะทำของว่างแก้ง่วงมาให้กิน อย่างวันนี้เราได้กินเป็นยำมะม่วงปลาร้า เปรี้ยวจี๊ดตื่นกันทั้งแพไปเลย

ตกเย็นมาก็เหมือนเดิมค่ะ เล่นน้ำ! เล่นได้ไม่มีเบื่อจริงๆ เลิกปุ๊บเปลี่ยนชุด หยิบชูชีพโดดกันตู้ม ตู้ม ตู้ม เจ้าโชคเจ้าพีพี่ใหญนี่ว่ายน้ำกันเก่งมากกก ว่ายไปนู่นนนน ภูเขาฝั่งตรงข้ามแล้วก็ว่ายกลับมาชิวๆ ส่วนโมโม่นี่ก็ใช่ย่อย ใส่ชูชีพตัวจิ๋วแล้วก็ถึงไหนถึงกัน เอะอะเป็นโดด ไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยเลย 

DAY 4

วันนี้ตารางกิจกรรมก็เหมือนทุกๆวัน กินข้าว เข้าแถว นั่งสมาธิ แล้วก็เริ่มเรียนคณิต ไทย และอังกฤษในคาบเช้า เราค่อนข้างอัดคณิตให้กับริวเยอะหน่อย เพราะว่าน้องถึงแม้จะบวกลบได้ แต่ก็ยังนับเลขในใจไม่ค่อยเก่ง เกินเลข 10 ไปเมื่อไหร่ต้องคอยหยิบลูกคิดมาใช้ตลอด ต้องทยอยให้น้องทำโจทย์เรื่อยๆ จะได้ชิน

แต่อย่าลืมว่า อย่ากดดันน้องนะคะ! 55555 เพราะถ้าน้องทำท่าเหมือนหาวง่วงนอนแบบปาดน้ำตาเมื่อไหร่ นั่นคือกำลังจะร้องไห้ค่ะ สองวันแรกเราคิดว่าน้องง่วงนอนมาตลอด แต่ความจริงคือแอบน้ำตาคลอเลยทำเป็นเช็ด ฮื้ออออออออ พี่ขอโทษน้องริวววว

ภาคบ่ายแน่นอนค่ะ ถึงเวลาของวิชาศิลปะเหมือนเคย แต่รอบนี้เราจะรวมวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย โดยนำกล่องรองเท้าที่เอามาจากบ้าน มาให้ริวประดิษฐ์เป็นโรงละครขนาดเล็ก วาดภูเขา ต้นไม้ใส่เข้าไป แล้วก็ปั้นภูเขาไฟจากดินน้ำมัน พร้อมกับทำการทดลองวิทยาศาสตร์ไปด้วย

น้องชอบไดโนเสาร์ แล้วก็พวกรถถังมากค่ะ เลยจำลองให้เป็นโลกยุคดึกดำบรรพ์ พร้อมวาดตัวละครไดโนเสาร์จากรูปทรงเรขาคณิตใส่ไปด้วย ซึ่งระหว่างทำก็มีแก๊งค์โมโม่ อาร์ต อิงดอย มาจอยอยู่เรื่อยๆ 

ศิลปะเป็นวิชาที่ริวดูสนุกด้วยสุดแล้วค่ะ (ไม่มีทีท่าว่าจะหาวเลย 55555) 

เสร็จแล้วก็ถึงเวลาทำการแสดง เรายกโรงละครไปตั้งโต๊ะจัดฉากกันที่แพเสาธง บอกเลยว่าผู้ชมล้นหลามค่ะ หยุดเรียนตามมาดูกันเพียบ เพราะไปโม้ไว้เยอะว่าภูเขาไฟเราจะพ่นลาวาออกมาได้ 55555555 (อภินิหารก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากผงฟู + น้ำส้มสายชู) 

ผ่านไปห้านาที… การแสดงก็จบลง ใช่ค่ะ ไวมาก ทำโรงละครกันมาสองวันพังแล้ว เนื่องจากโชว์หลายรอบจัดเพราะคนดูดูไม่ทัน 555555 เด็กๆ ว้าวมาก ครูน้อยถึงกับให้เอาโรงละครไปตากแดดให้แห้ง รอบหน้าจะได้เอากลับมาใช้อีกเชียวนะ ง่อว

เมื่อช่วงบ่ายมีหน่วยงานเข้ามาให้ทุนการศึกษากับเด็กๆ ย่าอาร์ต และแม่ริวก็เลยจะมารอรับน้องกลับบ้านไปตั้งแต่วันนี้เลย เพราะเด็กบางคนบ้านก็อยู่บนฝั่ง บางคนก็ต้องนั่งเรือเข้าไปอีกเกือบชั่วโมง มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว แถมพรุ่งนี้วันศุกร์ครูอาสาก็จะกลับกันตั้งแต่ช่วงเที่ยงๆ ไม่มีการเรียนการสอนแล้ว

วันนี้เลยเป็นเย็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้อยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ว่าแล้วก็ถ่ายรูปหมู่สักหน่อย รูปสองอาร์ตไม่ได้หัวเราะนะคะ น้องร้องไห้ค่า 555555 น่าจะอากาศร้อนแล้วหงุดหงิด เป็นคนเดียวที่ใส่ชูชีพอะเนอะ

เย็นวันนี้ครูน้อยอาสาเป็นคนลงมือทำกับข้าวให้ พวกเราทุกคนเลยมีเวลว่างพากันพายเรือคายัค ไม่ก็นั่งเรือของครูน้อยที่ขับโดยเจ้าโชคไปดูพระอาทิตย์ตกที่เนินเขาฝั่งตรงข้าม บรรยากาศดีมากกก มองไปทางไหนก็เจอะแต่ภูเขากับผืนน้ำ มีความสุขสุดๆ

DAY 5

วันสุดท้ายที่โรงเรียนเรือนแพ เราใช้เวลาครึ่งวันเช้าที่เหลือไปกับการ Big Cleaning Day ทำความสะอาดห้องเรียนครั้งใหญ่ เราว่าที่นี่สิ่งที่ขาดจริงๆ ไม่ใช่พวกอุปกรณ์การเรียน หรือสิ่งของเครื่องใช้เท่าไหร่นะ หนำซ้ำยังมีเยอะ เยอะจนเหลือเฟือด้วยซ้ำถ้าเทียบกับจำนวนนักเรียน

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียนที่มีครบเกือบทุกอย่าง ดินสอ ยางลบ สีไม้ สีน้ำใหม่ๆ มีหมด แถมมีหลายกล่องด้วย ไหนจะขนมนมเนย ที่ตอนแรกเราตั้งใจจะซื้อไปให้น้องๆ แต่กลับกลายเป็นว่าที่โรงเรียนมีเยอะอยู่แล้ว เยอะจนครูน้อยบอกให้ครูอาสาหยิบกินได้เลย ไม่ก็ต้องให้เด็กๆ ขนกลับเอาไปแบ่งให้ที่บ้านกิน ยาสามัญประจำบ้าน อันนี้ก็มีเยอะค่ะ ผู้ปกครองหรือชาวบ้านแถวนี้ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเบื้องต้นก็แวะมาเอายาที่โรงเรียนกลับไปกันนิแหละ 

สิ่งที่ขาดจริงๆ เราว่าน่าจะเป็นเรื่องของบุคลากรมากกว่า ครูน้อยเล่าให้ฟังว่า สมมุติตอนเช้าเขาตื่นขึ้นมาแบตเตอร์รี่ 100% เต็ม ต้องมาทำอาหาร ทำความสะอาด บางครั้งปั๊มน้ำพังก็ต้องไปซ่อม กว่าจะได้สอนจริงๆ ก็เหลือ 70% แล้ว มันไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น เพราะครูน้อยคนเดียวต้องดูแลทุกอย่างบนแพ รวมถึงความปลอดภัยของเด็กๆ ด้วย

เพราะฉะนั้นครูอาสามาเนี่ย ช่วยเขาได้เยอะเลย หรือเราว่าถ้าใครอยากจะช่วยเหลือ แนะนำเป็นเงินบริจาคน่าจะดีกว่า ครูน้อยจะได้นำไปซื้อของที่ขาดเหลือจริงๆ แต่ถ้าอยากซื้อเป็นของ ยังไงสอบถามความต้องการกับครูน้อยก่อนอีกทีก็ได้นะคะ อย่างช่วงที่เราไปสิ่งที่เค้าขาดคือแบตเตอร์รี่สำหรับโซล่าเซลล์

ตลอดห้าวันสี่คืนที่ผ่านมา ชีวิตการเป็นครูอาสาที่นี่ของเรามีความสุขมากจริงๆ ตอนแรกเราคิดว่าจะนานหรืออาจจะมีบางช่วงที่เบื่อๆ บ้าง เพราะโรงเรียนอยู่กลางน้ำแล้วก็ไม่มีเน็ตให้เล่น แต่เอาเข้าจริงคือเวลาผ่านไปเร็วมากกก

ที่นี่เราได้รู้จักเพื่อนครูอาสาคนอื่นๆ ที่แต่ละคนก็มีจุดมุ่งหมายในการมาที่ต่างกัน ได้ช่วยกันทำอาหาร จัดโต๊ะ นั่งล้อมวงคุยกัน แลกเปลี่ยนความฝัน เรื่องเล่า รวมถึงเรื่องผีด้วยฮ่าๆ 

ทุกเช้าโมโม่จะมาปลุกให้ตื่นถึงมุ้ง ตอนกลางคืนก็ได้ยินเสียงอิงดอยร้องไห้ เพราะทะเลาะกับพี่โชคและพี่พี ได้เห็นอาร์ตเต้นเวลามีคนทำเสียง ปะโล๊ง ป่ะโล๊ง โป๊งฉึ่ง ไม่ก็ได้ฟังครูน้อยดีดกีต้าร์ร้องเพลงเพราะ ๆ ยามค่ำคืน อีกทั้งตอนเย็นวิ่งออกมาจากห้องเรียนก็โดดน้ำได้เลย โรงเรียนที่ไหนจะมีสระว่ายน้ำใหญ่ขนาดนี้!

ยกให้เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดของปีนี้เลย 🙂

ขอปิดท้ายด้วยภาพน้องริวโบกมือบ๊ายบายวันสุดท้ายของการเรียนการสอน ตอนแรกที่มาถึงน้องพูดด้วยน้อยมาก เพราะยังไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แต่หลังจากวาดรูประบายสีด้วยกันทุกวัน ก็สนิทกันแล้วค่าาา น้องเป็นคนน่ารักมาก จิตใจดี ถ้าเพื่อนตีกันก็จะคอยห้ามจนโดนลูกหลงตลอด 555555555 

หลังการเดินทาง

  • ด้วยความที่เราเป็นกลุ่มแรกที่มาวันธรรมดาและมากันเอง ค่าใช้จ่ายเลยจะหารตามจริงค่ะ หลักๆ คือค่าเดินทางรถทัวร์ สองแถว เรือ และค่าอาหารทุกวันทุกมื้อ ตกแล้วไม่น่าเกินคนละห้าพันบาท
  • การมาเป็นครูอาสา = เราจะได้สอนในเวลาเรียนจริงๆ ของน้องเลย เพราะฉะนั้นมันต้องจริงจังนะคะ จะได้ไม่ทำให้น้องเสียเวลา น้องต้องได้ความรู้จริงๆ และความรู้นั้นควรเน้นให้สามารถนำไปใช้ต่อในชีวิตประจำวันได้ด้วย
  • หลังจากกลับมา เราจะต้องเขียนสรุปส่งให้พี่เจ้าของโครงการด้วยว่า เราสอนนักเรียนคนไหน สอนอะไรบ้าง พัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนเป็นอย่างไร แล้วพี่เขาก็จะส่งต่อข้อมูลให้ครูอาสารุ่นต่อๆ ไปเตรียมตัวอีกที 
  • ควรเตรียมบทเรียน กิจกรรมมาเยอะๆ เพราะเข้าไปแล้วไม่มีสัญญานเน็ตเนอะ เผื่อน้องเคยเรียนแล้ว หรือกิจกรรมไหนเคยทำ จะได้มีไว้สำรองค่ะ
  • สามาถติดต่อขอข้อมูลผ่าน Facebook : โรงบ่มอารณ์สุข ได้เลยยย!
Share the Post:

Related Posts

Land of Mountain and Meadows ‘New Zealand’ : ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์สัมผัสธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่แห่งเกาะใต้

อยากเกิดเป็นแกะที่นิวซีแลนด์ ประโยคนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่ เพราะหลังจากได้ไปเห็นด้วยตาเนื้อมาแล้วน้านนน  บอกเลยว่าถ้าชาติหน้าต้องเกิดเป็นแกะ แพะ วัว หรือเป็ด เราขอปักหมุดโลเคชั่นเป็นที่นี่แล้วกัน ยอมนอนเล็มหญ้าชิลๆ ก่อนโดนเชือด อย่างน้อยถ้าจะขิต

Read More

WEST COAST ROAD TRIP : ขับรถตะลุยอเมริกาฝั่งตะวันตก เก็บรวด 4 รัฐ CALIFORNIA / NEVADA / ARIZONA / UTAH

หลังจากอดเดินทางไปต่างประเทศเกือบสองปี ในที่สุด! เราก็ได้ออกเดินทางกันอีกครั้ง จุดหมายครั้งนี้คือ ‘อเมริกา’ อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าความอลังการของธรรมชาติที่นู่นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน สถานที่ที่บอกว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ นี่มันจะขนาดไหนกันเชียววว ทริปนี้เลยจัดไปเน้นๆ 43

Read More