สวัสดีค่ะ ทริปนี้จริงๆ ผ่านมาสักพักแล้วแหละ ตอนไปไม่ได้คิดว่าจะกลับมารีวิว เลยไม่ได้จดรายละเอียดเก็บไว้สักเท่าไหร่
รูปภาพช่วงนั้นแอป vsco cam มาแร๊งงงงมากๆค่ะ ก็เลยอาจจะแต่งเยอะไปหน่อย เกรนจัดบ้างหม่นบ้างขอโทษนะค่ะ 55555555 แต่ของจริงก็สวยไม่แพ้กันเลยยยยยยยยยย บางรูปก็ดิจิตอล บางรูปก็ฟิล์มค่า
เอาหละ ..ด้วยความที่ยังอยู่ในวัยเรียนกันอยู่ การไปเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเนี่ยตอบโจทย์มากๆ ทริปนี้ก็เลยเน้นความประหยัด และลำบากเป็นหลักนะค่ะ ฮ่าๆ ส่วนมากไม่ค่อยเน้นกินกันเท่าไหร่ เน้นถ่ายรูปกันสะส่วนใหญ่ค่ะ
ทริปนี้ไปกันทั้งหมด 5 คนค่ะ ขับรถยนต์กันไปเพราะลองมาคิดดูแล้วค่าน้ำมันเอามาหารรวมกัน ถูกกว่าค่ารถบัส และจอดแวะไปได้เรื่อยๆค่ะ เราขับรถไปจอดไว้ที่หนองคาย (พอดีพ่อมีคนรู้จักที่นั่นค่ะ) ออกจากกรุงเทพ 4 ทุ่ม ถึง เกือบๆ 6 โมงเช้าค่ะ
หลังจากนั้นก็ไปรอรถที่ บขส.หนองคาย รถบัส อุดร – หนองคาย – วังเวียง รถมีรอบเดียวคือ 10.00 น. ราคาตั๋ว 270.- บาท ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ระหว่างทางก็จะมีการจอดรถที่เขตข้ามแดนไทย-ลาว และระหว่างทางก็จะมีจุดพักรถครึ่งทางให้ได้เข้าห้องน้ำหรือซื้อขนม
เรามาถึงวังเวียงกันประมาณ 16.30 น. (ตอนมาสายพานรถขาดต้องพักซ่อมรถเลยทำให้เพิ่มเวลาไปอีก) รถบัสจะมาจอดที่สถานีขอวังเวียง แล้วจะมีรถฟรีพาเราไปส่งในตัวเมืองวังเวียงค่ะ ไม่ไกลเลยค่ะ ประมาณ 5 นาทีก็ถึง
ที่พักคืนแรกของเราโทรไปจองก่อนมาค่ะ ด้วยความที่มาครั้งแรกเลยยังไม่กล้าวอล์คอินเท่าไหร่ ชื่อที่พักคือ Champalao The Villa ราคา 1450 บาท พร้อมอาหารเช้า บรรยากาศภายในที่พักเราว่าดีมากๆ เป็นบ้านไม้ท่ามกลางต้นไม้บรรยากาศร่มรื่น ด้านนอกรอบๆเปนหมู่บ้าน ค่อนข้างร่มรื่นและสงบค่ะ แต่วิวภายนอกไม่ค่อยเห็นวิวภูเขา แม่น้ำเท่าไหร่ ที่พักมีฟรี wi-fi ค่ะ
หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้ว ก็ออกไปเดินเล่นในตัวเมืองกันค่ะ
วังเวียงเป็นเมืองเล็กๆที่แม่น้ำซองไหลผ่านกลางเมือง และมองไปทางไหนก็เห็นแต่ภูเขา
เหมือนโดนธรรมชาติโอบล้อมไว้อยู่เลย เดินไปไหนก็เจอแต่นักท่องเที่ยว
เดินไปเจอร้านอาหาร อยู่ตรงกลางแม่น้ำพอดี ด้านซ้ายเป็นภูเขา ด้านขวาเป็นหมู่บ้าน
มื้อแรกก็จัดไปเลยค่ะ 200,000 กีบ ( เงินไทยประมาณ 800 บาท ) จังหวะใหม่ๆช่วงนั้นยังคิดเงินกันไม่ค่อยเป็น
ก็เลยสั่งกันไม่คิดค่ะ เราว่าค่อนข้างแพงนะถ้าอาหารอย่างเดียว แต่ถ้ารวมวิวไปด้วยถือว่าคุ้มมากๆค่ะ
พอกินเสร็จ ก็ตกลงกันว่าจะไปเดินหาที่พักใหม่สำหรบพรุ่งนี้ เพราะอยากได้วิวแบบแม่น้ำภูเขาเป็นแบล็คกราวน์ถ่ายรูปกันก็เลยเดินข้ามสะพาน ไปอีกฝั่ง จะมีบังกะโลติดกันสามที่ มีบานาน่าบังกะโล ออเทอร์ไซด์บังกะโล คลิฟท์วิวบังกะโล
(สองบังกะโลแรกไม่มีแอร์ แต่ว่าถูกมาก พี่เจ้าของบอก 500 บาทนอนกี่คนได้ก็นอน)
สองบังกะโลนี้ฝรั่งเยอะมากกๆ
แต่สุดท้ายพวกเราเลือก Cliff view bungalows เพราะมีแอร์ค่ะ ส่วนบรรยากาศของทั้งสามที่คล้ายๆกันนะ
คือด้านหน้าแม่น้ำซองด้านหลังเป็นภูเขา ที่พักเราคืนล่ะ 1,100 บาท ไม่มีอาหารเช้าให้ แต่มีทีวีเพิ่มขึ้นมาให้
หลังจากจ่ายค่ามัดจำเสร็จ ก็เดินหาเดย์ทริปไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ โดยเลือกบริษัททัวร์คือ wonderful tours laos
ทัวร์มีให้เลือกหลายรูปแบบ แต่เราเลือก ถ้ำน้ำ + พายคายัคล่องแม่น้ำซอง ราคาทัวร์ 450 บาท รวมอาหารกลางวัน
เริ่ม 9 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมงเย็นค่ะ ตามตารางที่เค้ากำหนดไว้ โดยตกลงกันว่าเดี๋ยว พรุ่งนี้เช้าจะมาขึ้นรถที่นี้
เช้าวันถัดมา เราตื่นกันตอนประมาณ 7 โมงเพื่อมากินอาหารเช้าของที่พักโดยสามารถเลือกอะไรก็ได้
แล้วเดี๋ยวทางที่พักจะทำให้เราคนละ 1 ชุด โดยส่วนมากทีนี้จะกินคู่กับขนมบาแกตต์
หลังจากกินเสร็จพวกเราต้องรีบเอาของไปไว้ที่พักใหม่ก่อน แล้วค่อยเดินทางไปที่ร้านทัวร์
จริงๆแล้วพูดเหมือนไกลกัน แต่วังเวียงเป็นเมืองเล็กๆ ส่วนมากเลยเดินกันได้สบายๆเลย
ที่พักใหม่และเก่าของเราอยู่คนละฝั่งกัน ต้องข้ามสะพานไปอีกฝั่ง หรือถ้าอยากเปียกก็สามารถเดินลุยน้ำข้ามไปได้เลย
สะพานที่เชื่อมระหว่างสองฝั่งมีหลายสะพาน เมื่อมาถึงที่พัก วิวสวยมากๆอย่างที่บอกข้างหน้าเป็นแม่น้ำซอง
ข้างหลังเป็นภูเขา บางทีก็จะมีบอลลูนที่นักท่องเที่ยวจ่ายเงินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก ส่วนเราชาวงบน้อย ก็ดูบอลลูนขึ้น-ตก เอานี่แหละ
พอเก็บของเสร็จเราก็รีบไปรอที่ร้านทัวร์ และมีคู่รักฝรั่งมาแจมด้วยสองคน และไกด์ลาวอีกสองคน รวมออกทริปวันนี้สมาชิกทั้งหมด 9 คน
เรานั่งรถสองแถวออกนอกเมืองวังเวียงมาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็ชวนไกด์คุย ไกด์ของเราครั้งนี้ชื่ออรุณและพัน
ตัวจี๊ดของทริป ก็คืออรุณ จริงๆควรเรียกพี่ไม่ก็น้าแต่พวกเราก็เรียกแค่อรุณเฉยๆ เพราะอรุณชอบกวนประสาทตลอด อรุณพูดไทยได้สบายมาก
จนสักพักรถก็จอด ถึงกิจกรรมแรกคือถ้ำน้ำ และถ้ำช้าง ซึ่งต้องเดินเข้าไปในป่าอีก แต่ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ ระหว่างทางเดินก็ได้ทำความรู้จักกับคู่รักฝรั่ง ทั้งสองคนมาจากอิสราเอล ผู้หญิงชื่อชาฮาลแต่เรียกยาก เราเลยเรียกกันว่าชาขาว ส่วนผู้ชายชื่อดอนอันนี้ไม่เปลี่ยนเพราะเรียกง่ายและหล่อ
พอใกล้จะถึงถ้ำน้ำ ไกด์จะแจกกระเป๋ากันน้ำให้คนละใบ พร้อมไฟฉายคาดหัวส่องกบ พอไปถึงหน้าถ้ำก็ลอยตัวบนห่วงยาง ไต่เชือกเข้าไปในถ้ำเรื่อยๆ ภายในถ้ำมืดมาก มีแต่แสงไฟจากไฟฉายคาดหัวของเรา
ระหว่างนั้น เสียงตุ๊กแกก็ดังขึ้น จังหวะนั้นกลัวมาก อยากออกจากถ้ำทันที แต่แล้วเสียงจิ้งจกก้ตามมาแบบติดๆ หมางี้ก็มา เสียงวัว เสียงควายงี้มาหมด อ๋อ สรุปแล้วเป็นฝีมืออรุณจ้าาาาาาา อยากจะเอาห่วงยางตบหน้านางมากๆ
ภายในถ้ำก็จะมีลูกทัวร์จากบิรษัทอื่นๆด้วย มีช่วงนึงไต่เชือกสวนกับเหล่าบรรดาโอปป้า คิอดีมากจริงๆ
พอเสร็จแล้วก็ออกมาจากถ้ำเพื่อพักกินข้าวกลางวันที่ไกด์เตรียมมาให้เป็นข้าวผัดห่อใบตองคนล่ะ1ห่อ บาร์บีคิวคนล่ะ 2 ไม้ ขนมปังบาแกตต์คนละชิ้น แล้วก็ผลไม้คือ มะละกอกับกล้วย หลังจากกินเสร็จไกด์ก็พาไปถ้ำช้าง เพื่อไหว้สิ่งศักดิ์ของคนลาวกันต่อ
หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งรถคันเดิมไปยังจุดเริ่มต้นในการพายเรือคายัคล่องแม่ซอง อันนี้เป็นเดอะเบสท์ของทริปเลยก็ว่าได้ ตอนแรกกะจะไม่พายเรือคายัคกัน เพราะพายไม่เป็น แต่จริงๆแล้วเราจะให้ไกด์พายให้ก็ได้ สลับกันบ้างก็ได้แล้วแต่เราเลย คุยกันซักพักรถก็มาจอดริมแม่น้ำ ตอนเเดินลงไปนะ สุดยอดมากกก ภูเขานี้โอบล้อมตัวไว้เลย วิวหยั่งกะใน pinterest กว่าจะได้ลงเรือกันจริงๆก็มัวแต่ถ่ายรูป กันเกือบ 10 นาที
อรุณๆเก๊กให้กล้องหน่อยยยยยยยยยย (เกลียดดดดดดดดดดดดดดดด55555555555555555)
จริงๆในตอนแรกเราอยากมาทูบบิ้งกันมาก คือไม่พายเรือคายัค แต่เปลี่ยนเป็นนั่งบนห่วงยางแล้วลอยไปเรื่อยๆเอา
แต่ไกด์บอกว่าช่วงที่เรามา ( มีนาคม ) น้ำมันน้อยเลยจะไหลช้าไม่สนุก เราเลยเปลี่ยนเป็นคายัคกันแทน
ระหว่างทางก็จะมีฝรั่งที่ทูบบิ้งบ้าง อาจุมม่านั่งเรือแบบเครื่องยนต์บ้าง ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร
ระหว่างทางมีบาร์ให้แวะขึ้นพักประมาณ 3 บาร์ แต่เราขึ้นกันเอาบาร์สุดท้าย เพราะเริ่มเหนื่อยกันแล้ว
ขึ้นไปก็จะมีโต๊ะสนุ๊ก เปล กระท่อมให้นั่งพัก มีเบียร์ลาวขาย พร้อมเปิดเพลงชืวๆคลอกับเสียงลมไปเรื่อย
บรรยากาศชิลเหมาะแก่การนั่งดื่มเบียร์ไปเรื่อยมากๆ เราเลยนั่งคุยกันเรื่อยๆทั้งกับชาขาวดอน อย่างเมามันส์
พอนั่งไปได้สักพัก เรารู้สึกกรึ่ม เลยจะหันไปชวนอรุณกลับกัน แต่…………………….
หันไปอรุณเพิ่งเริ่มตั้งวงกับแก๊งค์เพื่อนๆของนาง เราจึงชวนดอนไปไฟว์กันที่โต๊ะสนุก ระหว่างรออรุณพัก (เฉยเลย)
คิดภาพตามนะค่ะ เล่นสนุ๊กอยู่กลางภูเขา ลมเย็นๆพัดบวกกับเสียงเพลง บรรยากาศตอนนั้นดีมากจริงๆ จนอรุณต้องพาแก๊งเพื่อนมาไฟว์ กว่าจะได้กลับกันจริงๆก็เกือบ 3 โมงเย็น
หลังจากจบเดย์ทริปอย่างหนักหน่วง เราจึงรีบเข้าที่พักไปอาบน้ำอาบท่ามาหาของกินกัน
แต่ครั้งนี้ต้องมีสติหลังจากที่มื้อแรกเจ็บไปเย๊อะะะ จึงตกลงกันว่าจะไม่ไปร้านอาหารแต่จะซื้อของจากชาวบ้านมากินเอา
พวกเราเดินเลยไปดูของกินในเมือง ก็เจอรถเข็นขายไก่ปิ้ง มีทั้งเนื้อย่างเป็นพวง หมูย่างเป็นพวง พวงล่ะ 40 บาท
เอาจริงๆแพงนะถ้าเทียบกับราคาที่ไทย แต่ตอนนั้นความหิวมันครอบคลุมต่อมสติเลยตัดสินใจซื้อมา 2 พวง ส่วนไก่ปิ้งเหมือนบ้านเราเลย แต่ขายไม้ล่ะ 100 บาท แต่ดีที่พวกเรายังพอมีสติอยู่นิดหน่อยเลยไม่เอา (หว่ออออ)
เลยเลือกเป็นไม้เล็กๆกับข้าวเหนียวมาแทน แต่กินไปสักพักปัญหาคือไม่อิ่ม
จึงต้องกลับมาต่อด้วยมาม่ากันคนล่ะห่อที่ที่พัก ราคาห่อละ 40 บาท (ต้มให้ ใส่ผักให้)
หลังจากหมดปัญหาเรื่องกิน ปัญหาต่อมาคือ wifi เล่นไม่ได้เนื่องจากค่อนข้างช้ามาก พวกเราจึงปรึกษากันเรื่องย้ายโรงแรม เพราะ wifi เปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิต จึงส่งสองสมาชิกออกไปหาที่พักใหม่ โดยข้อเน้นว่า ต้องลองเล่น wifi ก่อน แล้วค่อยตกลงเอา พวกเราจึงได้ที่พักใหม่ซึ่งถูกมากกก ( เดี๋ยวตรงนี้จะพูดถึงหลังจากกลับมาจากบลูลากูน )
….เช้าวันต่อมา(ขี้เกียจลุกสุกๆเพราะอากาศดีมาก) เราก็รีบขนของไปไว้ที่พักใหม่ วันนี้ตอนแรกมีแพลนคือไปบลูลากูน
ซึ่งตอนแรกเราลังเลว่า จะเช่าจักรยาน หรือมอไซต์ดี ระหว่างนั้นเจอชาขาวและดอน เขาจึงแนะนำว่า มอไซต์ดีกว่าเพราะทางลำบาก
เราจึงเดินไปเช่ามอไซต์กัน (พูดเหมือนจะไกลแต่เดินประมาณ 20 ก้าวก็ถึงแล้ว) ใช้แค่พาสปอร์ต ค่าเช่า 120 บาท มีน้ำมันแถมให้ 1 ลิตร แต่มันไม่พอในการไปบลูลากูน เราเลยต้องขับไปเติม พร้อมกับแวะซื้อตั๋วกลับในวันพรุ่งนี้ที่สถานีรถ
เราซื้อเสบียงตุนกันก่อนจะไปบลูลากูน เวลาเหลือเยอะเพราะคนแถวนั้นบอกไปช่วง บ่ายโมงถึงจะครึกครื้น
ระหว่างทางไปถนนเป็นลูกรังบ้างดินแดนบ้าง ขับลัดเลาะผ่านหมู่บ้านไปเรื่อยๆ รอบๆข้างเป็นภูเขา บ้างก็โล่งเป็นทุ่งนา
ฟีลคล้ายๆภาคเหนือบนดอยบ้านเรา แต่รถสวนมาทีนี่ ดินแดงฟุ้งกระจายแห้งกรังกันไปทั้งแถบ
( ลืมบอก เค้าจะมีแผนที่ให้มาด้วยกับมอไซต์ เพราะฉะนั้นไปถูกแน่นอนน )
ภาพนี้ทุกคนอาจจะสงสัยว่า เอออออ๋ หมอกรึป่าว ป่าวนะค่ะดินล้วนๆ
ขับมาสักพักประมาณ 10-20 นาทีก็จะมาถึงแล้วค่ะ เสียค่าเข้าด้วยแต่จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ น่าจะ 20 บาทรึป่าว แหะๆ
ขับมานี่คลุกฝุ่นคลุกดิน แต่พอมาแล้วหายเหนื่อยเลยค่ะ อาจจะไม่ยิ่งใหญ่มากเหมือนในรูป แต่สวยมากกคอนเฟิร์มมมม
เรารีบจอดมอไซต์ แล้วไปจองพื้นที่กันทันที ทีนี้มีเสื่อให้นั่งฟรีค่ะ มีเพิงขายอาหารด้วย ตอนเราไปถึง คนน้อยค่อนข้างน้อย
มีคนลาวมาเล่นกันกลุ่มสองกลุ่ม คล้ายๆฟีลเราไปเที่ยวน้ำตกแถวบ้าวๆบ้านประมาณนั้น แล้วก็ฝรั่งคู่สองคู่
พอสักพัก ก็เริ่มมีฝรั่งทยอยมาค่ะ พอสักพักอีกหน่อยทีนี้เริ่มครึกครื้นแล้วคราวนี้มีทัวร์มาลงกันเลยทีเดียว
เป็นเหล่าบรรดา โอปป้า (แต่จริงๆอายุคราวพ่อเรา) ที่เรียกแบบนั้นเพราะว่าฟิตกันมากค่ะ
คือในรูปเนี่ยไอ้จุดที่โดดลงมามันจะดูไม่สูงมาก แต่จริงๆน่ากลัวมากกกก เพราะอยู่ข้างบนต้นไม้ ขาถึงกับสั่นนนนน
เหวยยยยยย เหวยๆๆๆ ซูมเข้าไปหน่อยยย ทำไรกันอ่าแกรรรรร
หลังจากเล่นจนตัวเปื่อยเราก็ขี่มอไซต์ เอาไปคืนร้านเช่าแล้วก็กลับที่พักกัน
ที่พักคืนสุดท้ายนี่ถูกมากก คืนละ 600 ค่ะ มีสองเตียง มีแอร์ ทีวี wifi (แรงขึ้นกว่าที่เก่านิดหน่อย แต่จะเล่นทีต้องมานั่งเล่นติดประตูห้องเลย) ออกแนวเป็นตึกๆประมาณ 3-4 ชั้น วิวที่ได้จากทีนี้จะเป็นวิวมุมสูงค่ะ สวยมากเห็นภูเขาจากห้องนอนเลย ไม่มีอาหารเช้าให้นะค่ะ
วันนี้คืนสุดท้ายแล้วที่จะได้นอนที่นี้ ก็เลยกะจะจัดอาหารชุดใหญ่กันอีกมื้อ ร้านอาหารที่ลาวส่วนมาก
จะคล้ายๆกันหมดเลยคือ เป็นโต๊ะนั่งๆนอนๆ เบาะลายสก็อตสีแดง เปิดซีรี่ฝรั่งทั้งวัน
พวกเราเลือกร้านที่บรรยากาศดูชิวใจกลางวังเวียงเลย (จำชื่อร้านไม่ได้ขอโทษนะค่ะ)
อาหารที่ต้องลองเลยเราว่าคือ พิซซ่าหน้าไข่กับกระเทียม อร่อยมากๆ ไข่จะไม่ค่อยสุก มีกระเทียมหั่นหยาบๆ
กัดไปเจอกระเทียมก็ซี้ดซ้าดกันไป มื้อนั้นหมดกันไปอีกประมาณ 500 บาทค่ะ
ระหว่างเดินกลับที่พัก เราเห็นฝรั่งเล่นสนุ๊กกันอยู่ในร้านบาร์เล็กๆก็เลยเออเอาหวะ กลับที่พักไปเอาเสื้อหนาว
แล้วค่อยแวะมา (อากาศช่วงเย็นจะหนาวๆเย็นๆหน่อยค่ะ ) แต่พอหลังจากกลับมาดูสรุปฝรั่งหายไปหมดแล้ว
ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นกันมาแล้ว ก็เลยเดินหาร้านอื่น จนจำได้ว่าวันแรกระหว่างทางไปที่พักแรกมีอยู่ร้านนึง
เรากะว่าแค่จะไปเดินๆดูเพราะจำที่ตั้งไม่ได้แน่นอน ก็มีฝรั่งชวนที่นั่งอยู่หน้าร้านบอก ‘ ฟรี วันดริ้งค์ๆ ‘
แหมมมมมมมมมมมมมม่ รออะไรละค่ะ เข้าเลยคิดอะไรอี๊กกกกกก ( แต่พอดูเงยหน้าดูชื่อร้านเป็นร้านที่พวกเราตามหากันอยู่ )
ชื่อร้าน ‘ fat monkey pub ‘ เข้าไปไม่มีคนลาวเลย ไม่มีเลยจริงๆ มีแต่ฝรั่งเต็มร้านไปหมด
พวกเราเดินไปเอาไปเครื่องดื่มที่เค้าบอกฟรี แล้วก็มานั่งหงิมๆกันอยู่ที่โต๊ะ ด้วยสกิลภาษาที่ปวกเปียก
เลยจับเป็นก้อนคนไทยอยู่กลุ่มเดียวในร้าน สถานการณ์เริ่มตึงๆไม่รู้จะทำอะไรต่อ เลยเดินไปซื้อเบียร์ลาวมากิน
หลังจากนั้นก็งุ้งงิ้งๆกันเองอยู่ที่โต๊ะ ก็มีฝรั่งงมาชวนไปเล่นเบียร์ปอง ตอนแรกก็เล่นไม่เป็นเค้าก็ค่อยๆสอน
คือมันจะมีแก้วเอามาวางเรียงๆใส่เบียร์ คือถ้าเดาะปิงปองไปลงแก้วก็ต้องกิน ประมาณๆนี้แหละ
รูปภาพตอนวันกลับค่ะ จะมีรถมาวนรับเราไปที่สถานีรอรถบัส เค้านัดเราประมาณ เก้าโมงถ้าจำไม่ผิด
แต่ด้วยความที่ชักช้ากันเลยไม่ทันรถ ก็เลยต้องเดินไปกันเอง ระหว่างเดินรถก็ผ่านไปอีก 3-4 รอบ
โธ่เอ้ยยยยย สรุปคือรถวิ่งหลายรอบนะค่ะ รออยู่แถวๆนั้นก็ได้
จบกันไปด้วยภาพสุดท้ายนะคะ
…เราคิดว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่สนุกเลย ถ้าขาดสิ่งที่เจอระหว่างทาง
ขาดผู้คนที่ได้เจอได้รู้จักกันระหว่างทริป ไปแค่ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆเฉยๆ
ไม่ได้ทำความรู้จักสิ่งต่างๆระหว่างการเดินทาง การเดินทางครั้งนี้ของพวกเราเป็นจุดเริ่มต้นของการอยากเดินทางไปอีกหลายๆที่ ประหนึ่งเสมือนว่าเปรียบ55555555555 ได้เริ่มต้นสู่การเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ ( ถึงมันจะเป็นก้าวเล็กๆก็เหอะ แต่หึกเหิมมาก)
หลังจากกลับมาทำให้รู้ตัวเองเลยว่านี่แหละๆๆ สิ่งที่ต้องการ 555555555
รีบๆไปเที่ยวกันนะค่ะ เผื่อจะเจอจุดเปลี่ยน หรือสิ่งที่ตัวเองชอบแบบพวกเราค่ะ
——————————————————————————————————————
รายละเอียดค่าใช้จ่าย
ค่านำมันรถขาไป-กลับ 1000 บาท
ค่าตั๋วรถบัสไปวังเวียง (ขาไป-กลับ) 270 บาท
ค่าเอกสารผ่านด่านไทย-ลาว (ขาไป-กลับ) 100 บาท
ค่าที่พักคืนแรก 1450 บาท ตกคนละ 290 บาท
ค่าอาหารมื้อใหญ่วันแรก 800 บาท ตกคนละ 160 บาท
ค่าทัวร์ 450 บาท
ค่าโรงแรมคืนที่สอง 1100 บาท ตกคนละ 220 บาท
ค่าเช่ามอไซต์ คันละ 120 เช่ามา 2 คัน รวมเติมน้ำมันแล้ว ตกคนละ 50 บาท
ค่าโรงแรมคืนที่สาม 600 บาท ตกคนละ 120 บาท
ค่าอาหารมื้อใหญ่ครั้งที่สอง 500 บาทตกคนละ 100 บาท
ค่าอาหารยิบๆย่อย ตีไป 500 บาท ตกคนละ 100 บาท
รวมเป็น 2890 ค่ะ แต่จริงๆยังมีพวกค่าเบียร์อีกกก คนที่กินเบียร์เยอะสุดๆคือทุกมื้อต้องมีเบียร์ หมดไป 4500 ค่ะ
แต่คนอื่นๆพกกันไปเป๊ะ 3500 เลย ไม่เกินนี้แน่นอนค่าาาาาา
——————————————–
ทริคเล็กๆน้อย
• ตั๋วขากลับไปซื้อที่สถานีได้เลย ราคาเท่ากัน อย่าไปหลงเชื่อไกด์เพราะส่วนมากจะขายแพงกว่าเท่านึง !!
• เมืองวังเวียงเป็นเมืองเล็กๆ เดินได้ค่ะ ไม่ต้องนั่งรถหรอก แพงงงง
• จากเมืองวังเวียง มีรถไปต่อหลวงพระบาง และกลับไปเวียงจันทร์ได้ด้วย
• ทัวร์แบบเดย์ทริป ยิ่งไปกันเยอะราคายิ่งถูกค่ะ
• คนลาวพูดไทยได้ สื่อสารกันรู้เรื่องเลย (ก่อนไปเราแอบหวั่นๆ) แต่เหมือนพี่เหมือนน้องกันเลยย
• อาหาร ขนมส่วนมากจะแพงขึ้นเป็นเท่าตัวเลย อย่างเช่น เลย์ จาก 20 ก็กลายเป็น 40 บาท
• ในเมืองมีที่ให้แลกเงินเหมือน เรทไม่ต่างกันเท่าไหร่ ตู้ ATM ก็สามารถกดได่ะ แต่มีชาร์ทเพิ่ม
• ของที่เรากินบ่อยกันมากๆคือ บาแกตต์มีหลายไส้ให้ใส่ เบคอนเอย ชีสเอย ตกอันละ 40 บาท
• วังเวียง มีอีกหลายที่ให้ไปเที่ยว เช่น ถ้ำจัง และมีน้ำตกอีกด้วย ที่บลูลากูนมีถ้ำให้เข้าด้วย แต่เราไม่ได้ไป
• ที่พักมีหลายราคา ที่เราแนะนำคือ จำปาลาว บังกะโล เป็นแบบธรรมชาติสุดๆ แต่เราไม่ได้ไปพักนะค่ะ แต่อยากไปมาก
ที่พักไม่มีแอร์ เราไปช่วงหน้าร้อนพอดี พี่เจ้าชองเลยไม่แนะนำ
• เว็บไซต์ที่เราหาข้อมูลก่อนเดินทางค่ะ
– http://pantip.com/topic/31467951
– http://pantip.com/topic/31545518
– http://pantip.com/topic/31654381
– http://www.thetripvangvieng.com/