เรากับพี่สองคนตัดสินใจเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการนั่งรถทัวร์ออกเดินทางไป หลวงพระบาง
แล้วก็ไปต่อยัง ฮานอย กันมาค่ะ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณแปดวันได้
สองเมืองนี้ฟีลโครตขัดกันโดยสิ้นเชิง แบบว่าสงบๆเรียบง่ายที่หลวงพระบาง แล้วก็พรึ่บ! ตัดไปวุ่นวายสุดๆที่ฮานอย
ถึงแม้ว่าพวกเราจะใช้เวลากันเกือบสองวันเต็มอยู่บนรถทัวร์ ทุกคนอาจะคิดว่ามันต้องน่าเบื่อแน่เลย
ใช่ค่ะ ทุกคนคิดถูกแล้ว 555555555 ช็อตน่าเบื่อมันก็มีแหละ แต่ช่วงที่ตื่นเต้นมันมีมากกว่านะ
งี้นี่เองที่เขาบอกกันว่าเสน่ห์ของการเดินทาง คือการพาตัวเองออกไปจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆแล้วมันจะตื่นเต้นตลอดเวลา (ตัดภาพมานั่งหลับอยู่บนรถทัวร์)
DAY 1-2
CHIANG MAI TO LUANG PRABANG
—————————————————————
เราเริ่มต้นโดยการนั่งรถโดยสารจากเชียงใหม่ มุ่งตรงไปยังหลวงพระบางกันเลยค่ะ รถมีเพียงแค่รอบเดียวคือเก้าโมงเช้า และจะไปถึงหลวงพระบางในเวลาหกโมงเช้าของอีกวัน นั่นแปลว่ายี่สิบชั่วโมงนั่งให้ก้นชากันไปเลยยย ค่าโดยสารคนละ 1,200 บาทถ้วน(มีขนมแจกให้กล่องนึงพร้อมน้ำเปล่าหนึ่งขวด และแอร์ที่หนาวมากก )
ตอนแรกผู้โดยสารมีไม่ถึงสิบคนค่ะ จะเป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ แต่พอขับไปเรื่อยๆก็จะแวะรับอีกนิดหน่อยตามสถานีอื่นๆ ระหว่างทางคือเบาะมันจะว่าง เราสามารถขยับขยายไปดีไซน์ท่านอนกันได้ตามสบาย รถจะหยุดเข้าออกด่านไทยลาวตามพิธี ใครยังไม่ได้แลกเงินไปก็ไปแลกเอาที่ด่านได้นะ กว่าจะข้ามมาถึงฝั่งลาวได้ก็เริ่มเย็นแล้วค่ะ มีหยุดแวะพักให้กินข้าวรอบนึง
วิวระหว่างทางตอนกลางคืนสวยมากกกกกก ดาวเกลื่อนฟ้าเลย ถนนตอนแรกๆก็ยังดีอยู่ค่ะ
แต่ยิ่งใกล้ถึงหลวงพระบางทางก็ยิ่งเป็นลูกรัง นั่งสั่นนอนสั่นกันไปตลอดทาง ยังไม่รวมเสียงประตูกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสารที่เปิดปิดๆดังโป๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆตามจังหวะรถสั่น เนื่องจากกลอนพัง แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นเสียงกลองตีเอาฤกษ์เอาชัยเริ่มต้นทริปละกันเนาะ
จากตอนแรกที่อ่านรีวิวของพี่คนนึงมาพี่เขาถึงประมาณตี 4 ค่ะ เราก็แบบโหย น่าสงสารอ่ะ ถึงเช้าเกินแล้วจะยังไงต่อผิดแผนแย่เลยเนอะ ตัดภาพมาที่ตัวเอง รถจอดปุ๊ป มองนาฬิกา ตีสามครึ่ง…… ซวย เช้ากว่าพี่เขาอีก คืออย่าเรียกว่าเช้าเลย มันยังมืดอยู่ด้วยซ้ำ!!! แต่ไม่เป็นไร เรามีผู้ร่วมซวยคือพี่คนไทยหนึ่งคู่ และ คนเกาหลีอีกหนึ่งคน
ซึ่งคนเกาหลีนี่รู้จักกันตอนแวะพักกินข้าวค่ะ ชื่อคิม มาคนเดียว มันก็ชวนๆคุยเกี่ยวกับแพลน พอเราถามถึงแพลนมันบ้าง มันตอบกลับมาอย่างหน้าตาเฉยว่า ” Go…… with you.” อ่ะ แล้วแต่ เต็มที่ ตอบมาขนาดนี้ ก็ไปด้วยกันเลยแล้วกัน หลังจากนั้นคิมเลยพ่วงติดกับพวกเรา เที่ยวด้วยกันที่หลวงพระบางค่ะ
สรุปแล้วเราตกลงกันว่า นั่งรออยู่ที่ บขส. ถึงประมาณตีห้าครึ่งแล้วค่อยนั่งตุ๊กๆไปเริ่มต้นว่าจะเอายังไงกันต่อที่ร้านกาแฟประชานิยม ซึ่งเสียค่ารถคนละ 15,000 กีบ เท่ากับคนละ 60 บาทไทย (ค่าเงินเราคิดแบบง่ายๆโดยการตัดศูนย์ออกสามตัวแล้วคูณสี่เอาค่ะ)
จากร้านกาแฟประชานิยมที่อยู่ติดริมแม่น้ำโขง ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปแถวโซนบ้านวัดธาตุ เกสต์เฮ้าส์เอยโฮสเทลถูกๆเต็มเลย ใครที่จะมาวอล์คอินหาที่พัก เดินทะลุตามซอยแถวนั้นหาเอาได้เลยค่ะมีเยอะมากกกก ถูกด้วย
แต่ถ้าเลี้ยวขวาจะเป็นโซนตลาดเช้า/มืด พระธาตุพูสี พระราชวังหลวง ถ้ายังจับจุดไปไหนไม่ถูกมาเริ่มต้นที่ร้านกาแฟประชานิยมก็ได้นะ เราว่ามันอยู่ตรงโซนกลางๆพอดี
ซักประมาณ 6 โมงเช้า เราก็เริ่มเดินไปโฮสเทลที่จองไว้สำหรับคืนแรกกัน
โชคดีที่ถึงแม้ว่าโฮสเทลเราจะยังไม่เปิด แต่ดันมีพนักงานนอนกางมุ้งเฝ้าอยู่ เราเลยแวะเอากระเป๋าไปฝากไว้ก่อนได้
แล้วเดี๋ยวจะกลับมาเช็คอินตอน 11 โมง โดยระหว่างนี้ก็ไปเดินเล่นไปนู้นไปนี้กันก่อน เริ่มจากตลาดเช้าค่ะ
ตลาดเช้าที่นี้มีขายทั้งของสด ของแห้ง ของฝากหนังควายเอย กบ หนู ขนมครก เฝอ อาหารต่างๆ แชมพู เสื้อใน งานไม้ ผ้าถุง มาหมดทุกอย่าง เดินไปเรื่อยๆก็จะทะลุไปเจอพระราชวังหลวง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระธาตุพูสีค่ะ
เดินซักพัก ก็ไม่ไหวกันแล้ว ยอมแพ้กลับไปนั่งเล่นเน็ตรอเวลาเช็คอินที่โฮสเทลดีกว่า
โฮสเทลที่เราจองมาชื่อว่า LPQ Backpacker Hostel ค่ะ มีทั้งแบบนอนรวมและแบบแยก ถ้านอนรวมก็ห้องน้ำรวม
เราจองนอนรวมแบบหญิงล้วนกันมา ราคาคนละ 180 บาท อาหารเช้าฟรี แต่ห้องน้ำแย่มากกกกกกกก
เจอแจ็คพอต ทิ้งไว้ให้ดูอย่างน้อยต้องมีสองครั้งต่อวัน (นี่พิมพ์ไปเริ่มมีคลื่นไส้ ภาพมันยังติดตาอยู่อะ)
แต่แม่บ้านก็วนมาทำความสะอาดเรื่อยๆนะ ก็ต้องอาศัยเวลาหลังแม่บ้านจัดการทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยนี่แหละที่จะช่วงชิงเข้าไปใช้ห้องน้ำ และทิ้งแจ็คพ็อตไว้ให้คนอื่นดูต่างหน้าต่อไป 555555555555 อี๋
แพลนวันนี้หลังจากการเก็บของเข้าที่พัก และอาบน้ำอาบท่าเสร็จ นั่นก็คือเช่าจักรยานๆขี่เล่นไปเรื่อยๆรอบเมืองค่ะ อยากแวะตรงไหนก็แวะ แต่มีสถานที่ที่คิดไว้แล้วว่าจะต้องโดนให้ได้นั่นก็คือ วัดเชียงทอง กับร้านกาแฟที่อ่านมาากในหนังสือ
ค่าเช่าจักรยานอยู่ที่ 15,000-20,000 กีบ มีหลานร้านมากๆเลือกเอาได้เลยตามใจชอบแต่ราคาไม่ควรเกินนี้นะ
รถที่นี่เขาขับเลนขวากันค่ะ ช่วงแรกจะสับสนกันหน่อย ขี่ไปก็ต้องท่องไปว่าเลนขวาๆๆๆ แต่สุดท้ายเดี๋ยวก็ชินไปเอง
ขี่ไปยังไม่ทันไร เราก็แวะพักกินข้าวกันค่ะ โดนเฝอไปหนึ่งถ้วยใหญ่ๆ ราคา 15,000 กีบ
สำหรับเราคิดว่าแพงนะ ถึงจะชามใหญ่ก็จริง แต่หมูที่ให้มานั้นเบาบางเหลือกัน ซอยๆๆๆๆมาบางเท่าถั่วงอก ใจคอจะให้ไปกินข้าว ราคาก็จะอัพไปเป็น 20,000 กีบเล
เส้นทางที่เราขี่กันคือถนนฝั่งแม่น้ำคาน แถวนี้ร้านกาแฟ ร้านอาหารเยอะมาก ขี่ไปซักพักเราก็ดันมองไปเห็นสะพานไม้ไผ่ค่ะ จริงๆข้ามสะพานไม้ไผ่ เดินเล่นแถวแม่น้ำโขงนี่เป็นหนึ่งในลิสต์สิ่งที่จะมาทำที่หลวงพระบางของเราเหมือนกัน
ได้ทีก็จอดจักรยาน ล็อคเสร็จก็ลุยโลดดดด
เสียค่าข้าม 5,000 กีบ ข้ามไปก็ไม่มีอะไรนะ มีหาดทรายขนาดกลางๆให้เดินเอาเท้าไปจุ่มน้ำ ขาเปียก
ทรายติดเดินลื่นกันเล่นๆเท่านั้นค่ะ แต่ไม่ใช่ไรนี่ก็มีความสุขกันมากก ถ่ายรูปเพลิดเพลินกันอยู่สามหน่อ
ส่วนคิมเดินไปเขย่าสะพานไป กระโดดบ้าง ขย่มบ้าง พยายามจะเตือนแล้วว่า เห้ยคิม ยูอ้วนอ่ะ(ถึงมันจะพยายามเถียงว่ากล้ามๆๆๆก็ตาม) สะพานมันจะหักนะ หยุดเลย แต่ไม่มีการตอบสนองใดๆเกิดขึ้นนอกจากเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
ขี่ต่อมาเรื่อยๆก็จะมาสิ้นสุดให้วนกลับไปที่ถนนเส้นกลาง ซึ่งเป็นถนนเส้นที่ตั้งของวัดเชียงทองค่ะ
ทางตรงนี้เป็นเนินสั้นๆที่ดูเหมือนไม่ชัน แต่ดูดพลังงานมากก ยอมแพ้อีกแล้วลงจากจักรยานเดินเข็นเอาแล้วกัน (มารู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นถนนเดินรถทางเดียวค่ะ นี่ไปขี่ย้อนกันเองโทษใครไม่ได้) เดินมาปุ๊ปตรงหัวโค้งเอาอีกแล้วค่ะ เจอสะพานไม้ไผ่ ถามว่าไปมั้ย
ตอบเลยว่า ไปค่ะ 5555555555 เห้ยยยแต่มันเป็นวิวคนละแบบกัน สะพานแล้วก็หาดตรงนี้มันจะเป็นวิวแม่น้ำโขงค่ะ ค่าข้ามสะพานตรงนี้ 7,000 กีบ แต่ไม่ได้กินพวกเราหร๊อกก เราเดินเล่นกันอยู่แถวหาดทรายพอค่ะ
ขับมาอีกนิดเดียวจากหัวมุมถนน ก็จะเจอวัดเชียงทองค่ะ สังเกตุดีๆตัววัดจะไม่ได้อยู่ติดกับถนนเลย
เราจะต้องเข้าซอยกันไปอีกนิดนึง ค่าเข้าวัด 20,000 กีบค่ะ และที่สำคัญคือห้ามใส่กางเกงขาสั้น เพราะไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนค่าเช่าผ้าถุงใส่อีก 5,000 กีบ ตัววัดไม่ใหญ่มากแต่สวยมากกกกค่ะ
จุดเด่นของวัดนี้เลยคือ กำแพงสีแดงที่ประดับไปด้วยกระจกสีทำเป็นเรื่องราวต่างๆ น่ารักมากกกกก ณ จุดนี้รัวชัตเตอร์กันเข้าไปร้อยกว่ารูปค่ะ กะว่ากลับไปต้องได้เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เฟสบุคใหม่กันแน่ๆ
ส่วนคิม ผู้ที่ออกตัวไว้ก่อนเลยว่า “Temple is not for me.” ก็มาเป็นตากล้องให้แทน หรือบางทีก็หลบมุมไปนั่งใต้ต้นไม้ เปิดเพลงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี ใช้ปากเป็นลำโพงนั่งฟังไปรอไปอย่างในรูปค่ะ
หลังจากนั้นพวกเราก็ขี่จักรยานไปหาคาเฟ่ ที่ชื่อ L’etranger Books and Tea ร้านนี้เราอ่านเจอมาจากหนังสือ Lonely planet เป็นร้านที่ตอนกลางคืน ฉายหนังให้นอนดูฟรีๆที่ชั้นบน และถ้าพกหนังสือไปอ่านก็ยังได้รับส่วนลดด้วย
เรากะว่าจะไปนั่งๆนอนๆรอเวลานัดไปดูพระอาทิตย์ตกที่พระธาตุพูสีกับพี่ตู่และพี่มด พี่คนไทยสองคนที่เจอบนรถทัวร์ค่ะ
ร้านนี้พนักงานนิสัยดีมาก มีของทำมือวางขายหลายอย่าง และมีแกลอรี่เล็กๆอยู่ด้านในด้วยค่ะ หรือบางทีก็จะเกิดการแลกเปลี่ยนหนังสือกันเกิดขึ้น
เช่นแบบที่เราเจอก็จะเป็น ฝรั่งนั่งๆอยู่ก็ถามว่า ฉันมีหนังสือไกด์บุ๊คกัมพูชา ฉันต้องการของประเทศไทยมีใครอยากแลกมั้ยอะไรแบบนี้ น่ารักดีค่ะ
เราเช็คจากในโทรศัพท์ค่ะ ว่าวันนี้พระอาทิตย์จะตกตอนประมาณห้าโมงครึ่งเกือบๆหกโมง
แต่ไม่ได้เช็คว่าตลาดไนท์มาร์เก็ตที่อยู่หน้าทางขึ้นพูสีเริ่มตั้งกี่โมง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องค่อยๆเข็นจักรยานผ่านแผงตั้งของชาวบ้านไปเรื่อยๆ พอเข็นไปจนถึงที่จอด ก็คิดขึ้นได้ว่าถ้าลงมาก็มืด คนเยอะ แล้วจะเข็นจักรยานกันออกยังไง
สุดท้ายต้องรีบวิ่งเอาจักรยานไปคืนที่ร้านก่อน แล้วค่อยกลับมาขึ้นพูสีอีกทีค่ะ
ค่าขึ้นคนละ 20,000 กีบ ขึ้นบันไดรวมๆแล้วประมาณ 300 กว่าขั้นได้ เหนื่อยมากกกก
เพราะต้องวิ่งขึ้นกันค่ะ กลัวไปไม่ทัน แต่ขึ้นมาแล้ววิวที่ได้เห็นก็สวยมากๆเหมือนกัน นอกจากวิวพระอาทิตย์ตก
เรายังจะได้เห็น เมืองหลวงพระบางจากมุมสูงด้วยค่ะ ดูอบอุ่นมากกกก
พอลงมาจากพระธาตุพูสี ตลาดกลางคืนก็ตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ
คืนนี้เราจะไปจัดบุฟเฟ่ต์ฟมื่นกีบในตำนานกัน ถ้าเดินแบบผ่านๆตรงๆ ก็จะคิดว่ามีร้านเดียวแล้วต้องจำใจกินร้านนั้นเหมือนเราค่ะแต่จริงๆ ลองเลี้ยวเข้าซอยนู้น ซอยนี้ดูบ้าง มันจะเป็นซอยที่คล้ายๆโต้รุ่งทั้งซอยเลย เป็นซอยแคบๆแต่อาหารข้างในน่ากินทุกอย่างเลย
บุฟเฟ่ต์ก็มีให้เลือกหลายร้านเลย น่ากินกว่าร้านตรงตลาดมากๆ ส้มตงส้มตำมาหมด เพิ่งมาเจอตอนกำลังจะเดินกลับโฮสเทลค่ะจำซอยไม่ค่อยได้ๆ แต่น่าจะอยู่เส้นเดียวกันกับตลาดเช้าค่ะ
DAY 3
LUANG PRABANG
—————————————————————
จากซอยโฮสเทลที่เราอยู่ เดินเลี้ยวมาทางถนนใหญ่ ก็จะเจอกับบรรดาป้าๆที่รอขายของใส่บาตรอยู่ค่ะ
จริงๆแล้วโดนขายให้ตั้งแต่เมื่อวานในราคา 40 บาทไทย แต่ด้วยความที่ตั้งใจจะมาตักบาตรวันนี้เราเลยขอบายไปก่อน ซึ่งเราออกมาเตรียมตัวกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งค่ะ ต้องให้พนักงานคนเดิมที่นอนกางมุ้งเฝ้าโฮสเทลวันแรกไขประตูให้ออกอีกละ (มีแอบเกลียดกันแน่ๆ)
ด้วยความที่เพิ่งตื่น สติน่าจะไม่มี ก็เลยซื้อชุดตักบาตรมาในราคา 120 บาท
เพิ่งมารู้ตัวว่าซื้อแพงกว่าเมื่อวานสามเท่าแหนะก็ตอนที่ใส่เสร็จพอดี นี่เกือบซื้อมาสองชุดด้วยนะ
ของที่ได้มาก็จะเป็นข้าวเหนียวหนึ่งกระติ๊บ พร้อมกับขนมอีกหนึ่งตะกร้า ซื้อเสร็จก็เดินไปนั่งเสื่อที่เขาปูไว้ให้ฝั่งตรงข้ามได้เลย ตักบาตรให้พระได้กี่รูป ก็แล้วแต่การบริหารขนาดข้าวเหนียวที่เราปั้นไปใส่บาตรได้เลย ของพวกเราประมาณซัก 8-10 รูปค่ะ
หลังจากนั้นเราก็กลับไปนอนต่อ ตื่นมาอีกทีตอนแปดโมงค่ะ กินอาหารเช้าฟรีที่โฮสเทลเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวออกไปหาร้านเช่ามอไซต์
แว๊นไปตาดกวางสี เราเช่ามอไซต์มาในราคา 120,000 กีบสำหรับ 24 ชั่วโมง มอไซต์มีหลายราคาตามรูปแบบ
แต่ของเราถูกสุด เป็นเกียร์ออโต้มอไซต์แม่บ้านธรรมดาๆค่ะ
จริงๆถ้าใครมาคนเดียว ก็สามารถขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปน้ำตกได้ด้วยนะ
ตกราคาคนละ 40,000 กีบต่อเที่ยวไม่ต้องขับเองด้วย แต่ก็จะไม่สามารถหยุดแวะข้างทางได้ตามใจค่ะ
อีกอย่างพวกเราจะขี่มอไซต์ไปจองตั๋วรถนอนไปฮานอยที่สถานีขนส่งกันด้วย ก็เลยตกลงเลือกเช่ามอเตอร์ไซต์กัน
ระยะทางไปตาดกวางสีประมาณ 30 กิโลเมตรค่ะ ใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมง
ทางจะเลาะเขาไปเรื่อยๆ บางช่วงก็มีถนนลาดยาง บางช่วงก็จะเป็นดินล้วนๆค่ะ อุปสรรคที่หนักกว่าความขรุขระของถนน
นั่นก็คืออากาศค่ะ หนาวมากกกกกกกกกกกกกกกกก หนาวแบบปากสั่น ปากแตก ด้วยความที่เตรียมตัวมาเล่นน้ำตกกันอย่างเต็มที่ชุดที่ใส่มาเลยแบบสบายๆ ไม่มีเสื้อหนาวปกคลุมเลยค่ะ เนื้อล้วนๆ
ทางช่วงแรกๆก็จะวิ่งตรงไปเรื่อยๆธรรมดาค่ะ แต่พอเริ่มออกจากเมือง มันก็จะเริ่มคดเคี้ยวขึ้นเรื่อยๆ
พี่ตู่พี่มดก็คอยถามตลอดเวลาว่าโอเคป่าว ให้พี่ขับให้มั้ย ด้วยความที่มั่นหน้าก็เลยตอบไปว่า ไม่เป็นไรค่าาาา
แต่ซักพักเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ ยิ่งดันไปเจอฝรั่งนั่งทำแผลอยู่ จากการประมวลผลสภาพเลือดที่ไหลไปครึ่งหน้า น่าจะเพิ่งแหกโค้งมาอย่างแน่นอน
พวกเราเลยรีบจอดรถทันที และแยกไปนั่งซ้อนพี่ตู่กับพี่มดคนละคันเลย
ใครยังขับมอไซต์ไม่แข็งแนะนำว่า มาตุ๊กตุ๊กเถอะนะ เดี๋ยวแหกโค้งหรืออะไรขึ้นมา มันจะได้ไปโรงพยาบาลแทนน้ำตก
ในที่สุดเราก็มาถึงตาดกวางสีในภาพสั่นไปทั้งตัว ค่าเข้าคนละ 20,000 กีบ
เราจะต้องจอดมอไซต์ไว้แล้วก็เดินเท้าขึ้นไปค่ะ ระยะทางไม่ไกลมาก
บริเวณข้างทางด้านล่างก็จะมีร้านอาหาร ส้มตำ ไก่ย่าง เราสามารถสั่งขึ้นไปกินที่น้ำตกได้ด้วยค่ะ
ระหว่างทางอย่าลืมแวะดูเจ้าหมีดำ น่าจะมีหลายกรงรึเปล่าไม่แน่ใจค่ะ
เพราะตอนแรกว่าจะเดินตามเส้นทางที่ป้ายบอก ตรงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เดินไปเดินมาก็เลี้ยวสะเปะสะปะจนอยู่ดีๆมาโผล่ที่น้ำตกเฉย ขากลับก็ไม่ใช่ทางเดิมค่ะ เดินไปเดินมาก็มาจุดเดิมได้ซะงั้น แต่จริงๆทางไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้นนะคะ พวกเรานี่แหละทำให้มันงงเอง 5555
คนที่น้ำตกมีบ้างนิดหน่อยค่ะ ไม่ค่อยแน่นเหมือนกล้ามหน้าท้องคนนั้น เอ้ยต้นไม้ที่นั่นค่ะ คงจะเป็นเพราะพวกเรามาเช้ากันด้วย เดินขึ้นไปอีกเรื่อยๆก็จะเจอน้ำตกชั้นถัดๆไป จนสุดท้ายก็จะไปเจอชั้นที่ใหญ่ที่สุด แต่ว่าลงเล่นไม่ได้นะ จะบอกว่าน้ำสีสวยมากกกก ไม่ใช่ฟีลสีฟ้าแบบเอราวัณบ้านเรา แต่ที่นี้จะออกฟ้านมๆหน่อยค่ะ ละมุนนน
สุดท้ายเรากลับลงมาเล่นชั้นที่เจอกันตอนแรกค่ะ ซึ่งตรงนี้จะเป็นมุมฮิตที่นักท่องเที่ยวมากระโดดน้ำจากต้นไม้
แล้วก็ถ่ายรูปกัน ที่นี้มีห้องเปลี่ยนชุด ห้องน้ำแถวๆบริเวณน้ำตกเลยค่ะ
เรากระโดดกันไปสองสามตู้มค่ะ แล้วก็กลับเนื่องจาก คิม ….ด้วยความที่เป็นปกติของบ้านเรา
ถ้าบอกว่าจะไปน้ำตกก็จะรู้โดยอัตโนมัติทันทีว่าต้องไปเล่นน้ำ เราเลยไม่ได้บอกคิมว่า เออเตรียมชุดมาเล่นน้ำด้วยนะ
คิมก็เลยแต่งเต็มยศมาเลยค่ะ กางเกงยีนส์ เสื้อหนาว รองเท้าผ้าใบ ฮือออสงสารมากใครจะรู้ว่าเกาหลีเขาไม่เล่นน้ำตกกัน
แต่พอสายๆนักท่องเที่ยวก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งคนจีน เกาหลี ฝรั่งเต็มไปหมด
ขากลับอากาศยังหนาวอยู่ค่ะ แต่โชคดีที่มีแดดแรงๆมาทำให้อุ่นขึ้นหน่อย
ก่อนจะขี่กลับโฮสเทล เราแวะไปซื้อตั๋วรถทัวร์ไปฮานอยที่สถานีขนส่งกันสองคนก่อนค่ะ
ณ จุดนี้คิมเหนื่อยกลับไปนอนโฮสเทลเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเรามีทั้งแผนที่จากร้านค้า แผนที่ที่ปริ้นมาเองจากบ้าน และแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ รับรองว่าจะไม่มีการหลงเกิดขึ้นแน่นอน ถุ้ย สี่รอบค่ะ วนไปวนมาเข้าเมืองออกเมืองไม่เจอซักที
คือแบบนี้ค่ะ ตอนที่พวกเรานั่งตุ๊กตุ๊กออกมาจากสถานีวันแรก มันมืดไงเลยจำทางเข้าหรือหน้าตาสถานีไม่ได้เลย
นี่ไม่ได้โง่จริงๆนะคะ! ถ้าทุกคนจะขี่มอไซต์ไปซื้อบ้าง แนะนำให้ดูตามแผนที่ไป South Bus station ค่ะ
เราก็เสริชแหละ แต่พอไปถึงมันเป็นสถานีชาวบ้านอ่ะ สี่รอบค่ะสำหรับการดูแผนที่ใหม่และกลับมาจุดเดิม จนรอบสุดท้ายขับเลยไปแบบนิ๊ดเดียว สถานีที่เราตามหาก็อยู่ตรงนั้นเลย (ถึงแม้ตอนแรกจะคิดว่าเป็นคนละสถานี และบ่นกันเองว่าเห้ย ลึกลับอ่ะเหมือนผีหลอกเลย แต่เพิ่งมารู้ว่าจริงๆแล้วมันคือสถานีเดียวกันก็ตอนเข้ามารอขึ้นรถทัวร์ข้างในค่ะ 5555555555555 อันนี้โง่ไม่พอ มีการคิดเองเออเองว่าผีหลอกอีกด้วย ยอมใจ)
• รถที่ไปฮานอยเป็น Sleeping Bus ค่ะ ไม่มีห้องน้ำ ราคาคนละ 1600 บาท
คนขายตั๋วบอกว่าใช้เวลาทั้งหมด 24 ชั่วโมง มีรอบเดียวคือตอนหกโมงเย็น
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จ เราก็กลับมาอาบน้ำ และผ่อนคลายความโง่กันซักชั่วโมง
ก่อนแว๊นซ์มอไซต์ไปยูโทเปีย ซึ่งส่องมานานมากสำหรับร้านนี้ ถึงแม้ว่างบสำหรับหลวงพระบางเริ่มจะใกล้หมดเต็มที
แต่เราก็ยังยอมเจียดเงิน ไปนั่งชิคๆคูลๆกินน้ำปั่นกันนนนนน
ยูโทเปีย อยู่ฝั่งแม่น้ำคานค่ะ ขี่มาเรื่อยๆตามป้าย เลี้ยวเข้าซอยเอามอไซต์จอด เดินต่ออีกนิดก็จะโป๊ะเข้าให้กับร้านที่ตกแต่งแนวยิปซี มีสวนหย่อม มีลานเล่นวอล์เลย์บอล มีลานโยคะ และมีบาร์ตอนกลางคืน ดีงามมมมม
แต่อย่างว่าค่ะ ร้านนี้ค่อนข้างดัง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ห้ามพลาดถ้ามาหลวงพระบางเลย และต่อไปนี้สังคมคือการแย่งชิงค่ะ ร้านนี้จะมีจุดพีคสุดเลยคือลานด้านหน้า มันจะเป็นที่ที่สามารถนอนชิว อ่านหนังสือ พร้อมมองวิวแม่น้ำคานไปได้ด้วยในตัว ซึ่ง…….เต็มค่ะ
แต่อย่างนั้นก็หาไม่ ในเมื่อสั่งน้ำปั่นที่ราคาเท่ากับเฝอชามใหญ่ไปแล้วสองแก้ว พวกเราจึงขอเลือกที่จะสู้ต่อ
ระหว่างนั้นก็คอยสังเกตุการณ์ว่ามีใครลุกบ้าง ว่างตรงไหนใกล้ๆก็จะค่อยๆคลืบคลานไปเรื่อยๆ อย่าว่าแต่เราเลยค่ะ เกาหลีเอย ฝรั่งเอยก็เป็นเหมือนกันนะ กว่าจะได้ไปแช่ตัวลงตรงนั้นก็ย้ายไปสามสี่ที่อยู่เหมือนกัน แหะๆ
(เอาเข้าจริงแล้วอาจจะไม่ได้มีใครกำลังแข่งขันกับเราอยู่เลยค่ะ ประสาทกันไปเองอยู่สองคนพี่น้อง 5555555)
จริงๆถ้าอยู่ต่อตอนกลางคืนอีก สถานที่ชิวๆแห่งนี้จะกลายเป็นบาร์ ผับขนาดย่อมๆที่เราคาดเดาว่า
ชาวต่างชาติหล่อๆ สวยๆจะมากองรวมกันอยู่ที่แห่งนี้ แต่เสียใจด้วยนะคะทุกคน เราเลือกหมูกระทะค่ะ ใช่แล้ว “หมูกระทะ”
เนื่องจากขาเดินกลับโฮสเทลเมื่อวาน สายตาและจมูกได้ไปสะดุดกับร้านหมูกระทะริมโขงเข้าให้
นี่พยายามจะพูดให้ดูดีว่าริมโขงแต่จริงๆไอ้ริมโขงไม่ริมโขงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจให้กินเลยค่ะ
หิวล้วนๆ อดอยากกันมาสองวัน วันนี้จะเอาให้ท้องแตกตายคาร้านกันไปเลยค่ะ
ราคาตกคนละ 60,000 กีบ กินได้เรื่อยๆจนร้านปิด เปลี่ยนเตา เพิ่มถ่านให้ตลอดเวลา เห้ยยยยยย คุ้มมากกกกกก
รังนมเอย สามชั้น ข้าว หนังไก่ทอด โอ้ยยย แฮปปี้มากค่ะ จริงๆอยากถ่ายรูปมาให้ดูมากกว่านี้ แต่ตอนนั้นเราเทสติทั้งหมดไปให้กับการพลิกกลับด้านหมูสามชั้นบนเตาหมดแล้วค่ะ ขอโทษจริงๆ
หลังจากนั้นกลับโฮสเทลมาพักท้องกันซักหน่อย แล้วก็ไปลุยต่อที่ Night Market กัน เพราะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ที่หลวงพระบาง ของที่นี้ก็จะคล้ายกับถนนคนเดินเชียงใหม่ ส่วนมากก็จะเป็นงานแฮนด์เมด เสื้อผ้าสไตล์ชนเผ่าซะส่วนใหญ่ แต่ที่น่ารักแล้วเราชอบมากๆเลยนั่นก็คือ พวกผ้าปักลายต่างๆค่ะ น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกก
DAY 4-5
LUANG PRABANG TO HANOI
—————————————————————
วันนี้คือวันแห่งการแยกย้ายค่ะ พี่ตู่พี่มดเดินทางไปวังเวียงต่อตอนเช้า ส่วนคิมก็ไปวังเวียงเหมือนกันแต่ตอนเที่ยง
หลังจากเราบอกลาทุกคนเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ออกไปเดินเล่นในเมืองหาซื้อโปสการ์ดรอเวลาไปขึ้นรถตอนห้าโมงเย็นที่สถานีขนส่งกันค่ะ
ตอนแรกเราคิดว่าหลวงพระบางเป็นเมืองเล็กๆ เพราะสองวันที่ผ่านมาพาหนะพวกเราคือจักรยานและมอไซต์ ทำให้ขี่วนๆแป๊ปเดียวก็รู้สึกว่าเที่ยวหมดเมืองแล้วค่ะ แต่พอลองเดินปุ๊ป รู้เลยยย….
ไม่เล็กนะคะ หลวงพระบาง มีชอตที่เดินไปเกือบสุด พอถึงตอนเดินกลับรู้สึกไม่ไหว เกือบยอมแพ้เรียกตุ๊กตุ๊กกลับกันเลยค่ะ 55555 ทางเดิมที่เราขี่มอไซต์ผ่านหลายรอบ กลายเป็นว่าพอลองเดิน บ้างร้านข้างทางเหมือนไม่เคยผ่านมาก่อนเลย จริงๆถ้ามีเวลาอยากให้ลองเดินกันด้วยนะ เมืองเขามีเสน่ห์มากกกกกกก
นี่เป็นส่วนในซอยโฮสเทลที่เราพักอยู่ค่ะ เจ้าหมาโกลเด้นที่นอนอยู่นั่น เราเดินผ่านก็ทักทายมันทุกครั้ง
ไม่ว่าจะทำเสียงสัตว์แปลกๆใส่ หรือพยายามโบกมือทักทายให้ แต่มันไม่เคยสนใจเราซักครั้งเลย
คาดว่าทั้งหมาแล้วก็เจ้าของน่าจะรำคาญมากๆ พวกหนูขอโทษค่ะ 555555555
เดินออกซอยมาก็จะมาโผล่ที่ริมแม่น้ำโขงค่ะ บรรยากาศดีมาก คนลาวที่นี้น่ารัก
เพราะรู้ว่าเป็นคนไทยก็จะชวนคุยเลยค่ะ อบอุ่นมากๆ
อีกด้านนึงของซอย ก็จะเป็นถนนเส้นหลักในเมืองค่ะ เขาเรียกแถวนี้กันว่า โซนโจมาโซนฝรั่ง
เป็นที่ตั้งของร้านกาแฟชื่อดัง เดินเล่นมาเรื่อยๆ ผ่านทางพระราชวังหลวง หรือถนนที่ตอนกลางคืนเป็นไนท์มาร์เก็ตค่ะ
เดินตรงมาเรื่อยๆอีกนิด ก็จะเจอกับโรงเรียนค่ะ น่าจะเป็นโรงเรียนประถมหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะมีแต่เด็กตัวเล็กๆ
กำแพงโรงเรียนที่นี้จะเตี้ยๆค่ะ ทำให้เราสามารถชะโงกหน้าไปสอดรู้สอดเห็นน้องๆในโรงเรียนได้
และด้วยความสอดรู้สอดเห็นของเรา บวกกับความบังเอิญที่ไปช่วงพักพอดี ก็เจอเด็กๆที่นั่งทานข้าวกลางวันกันอยู่ เด็กๆที่นี้พกข้าวใส่ตะกร้ามากินกันเองที่โรงเรียนด้วย แก๊งค์นี้น่ารักกกกก แถมยังสู้กล้องกันทุกคน
นี่แหนะ รูปหมู่ซะเลย ยังคงยืนยันว่าน้องน่ารัก ถึงแม้ว่าน้องคนที่สองจะทำหน้าขยะแขยงเราอะไรขนาดนั้นก็ตาม 555555555 ร้านโปสการ์ดที่เราซื้ออยู่ตรงข้ามโรงเรียนเลยค่ะ และแถวๆถนนเส้นนั้นก็ยังมีอีกหลายร้านเลย
ลองไปเลือกดูกันก่อนนนน แต่แสตมป์มีขายอยู่ที่ไปรษณีย์หรือไม่ก็ร้านหน้าไปรษณีย์อยู่ที่เดียวค่ะ
หลังจากนั้นเราก็เดินกลับเอาโปสการ์ดมานั่งเขียนที่โฮสเทลกัน ระหว่างทางกลับก็หาตุ๊กตุ๊กให้มารับที่โฮสเทล
ไปส่งที่สถานีขนส่งได้ในราคา 15,000 กีบค่ะ เราซื้อโปสการ์ดรวมกันมาทั้งหมด 16 ใบ
นั่งเขียนกันหลังขดหลังแข็ง ด้วยความที่มั่นใจว่า ค่าแสตมป์มันจะต้องถูกอย่างแน่นอนนนน
ปรากฎว่า การคิดไปเองนี่มันแย่จริงๆค่ะ ราคาแสตมป์ตกดวงละ 50 บาท เอ้าคูณกันไปซิ 16 ใบ ตอนนั้นหงุดหงิดมาก
คือป้าคนขายมันพูดด้วยไม่ค่อยดีค่ะ เหมือนแบบไม่ใช่ฝรั่ง เราก็เลยคิดกันในใจว่า โกงแน่ๆๆๆๆๆๆ
เดินเข้าไปถามในไปรษณีย์ เขาก็ตอบแบบอึกอักไรงี้ นี่ก็คิดไปเองอีกว่าร่วมขบวนการโกงกับอีป้าชัวร์
ตอนนั้นเจอพี่คนไทยสองคนค่ะ ก็พยายามไปถามๆพี่เขา กะจะชวนพี่เขาไปร่วมขบวนการต่อต้านการโกง แต่พี่เขาส่งกันแค่คนละใบ
เลยไม่ปัญหาเยอะเหมือนพวกเรา สุดท้ายยอมแพ้เอาไปส่งที่เวียดนามก็ได้ (พี่เขาแนะนำมาว่าถูกกว่า)
เพราะฉะนั้นโปสการ์ดโง่ๆของพวกเราจะเป็นโปสการ์ดลาวที่แสตมป์ตราเวียดนาม โธ่
(มาเสริชตอนหลัง ป้าไม่ได้โกงค่ะ นั่นราคาปกติ 55555555555)
หลังจากนั้นรถตุ๊กตุ๊กก็มารับไปสถานีขนส่ง ก่อนขึ้นก็วานลุงคนขับแช๊ะรูปคู่ให้ซักหนึ่งชอต
พอไปถึงสถานี ก็เดินออกมากินข้าวข้างๆสถานีกันค่ะ ร้านนี้เป็นร้านแบบชาวบ้านขายชาวบ้านด้วยกันเอง
ป้าน้าอาแถวนั้นพอรู้ว่ามาจากไทยเขาก็ชวนคุยค่ะ ถึงภาษาเราจะคล้ายกันก็จริงแต่บางคำมันก็ต่าง คือพี่คนเสิร์ฟพยายามพูดให้เราเข้าใจเมนู
จริงๆเราก็เข้าใจนะ แต่เหมือนพี่เขาพูดไปเขินไปขำไป 5555555555555555555555555 ฮามาก
เช่น เนื้อควายค่ะ แต่มันไม่ได้ออกเสียงว่าควาย มันออกเสียงว่าไอ้นั่น แบบไม่มีสระ า ฮาลั่นกันทั้งร้าน
พออาหารมาถึงโต๊ะ ป้าๆแกก็มาชวนคุย สอนวิธีกิน โดยเรียกแทนตัวเองว่าแม่ค่ะ
ถึงว่าเป็นการส่งท้ายทริปหลวงพระบางที่น่ารักและอบอุ่นมากๆ