LET’S GO MACAU ︱ มาเก๊า เมืองเล็กๆที่คุณไปแล้วจะต้องตกหลุมรัก

มาเก๊า น่าจะเป็นประเทศที่ใครหลายๆคน ไม่เคยคิดจะไป หรือถ้าไปก็ฝังตัวอยู่ที่คาสิโน ไม่ก็เป็นทางผ่านไปฮ่องกงอะไรแบบนั้น แต่จริงๆแล้วที่นี้มันมีครบทุกอารมณ์เลยค่ะ ทั้งแสงสีความเจริญจากคาสิโน บ้านเมืองน่ารักสไตล์ยุโรปผสมเอเชียชวนให้ถ่ายรูป อาหารข้างทางก็หลากหลายและอร่อย ส่วนธรรมชาติ มาเก๊าเค้าก็มีมุมให้หลบไปพักผ่อนจากความเจริญเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเป็นชายหาดฮัคซา หรือหมู่บ้านริมทะเลที่เงียบสงบอย่างเกาะโคโลอาน

อีกย่างมาเก๊าเป็นเมืองที่เที่ยวง่าย วางแผนไม่กี่วันก็สามารถออกเดินทางได้เลย และมาเก๊าไม่ได้แพงอย่างที่คิด เพราะที่นี่สามารถเดินไปแลนด์มาร์คต่างๆได้อย่างง่ายดาย และยังมีรถคาสิโนรับส่งฟรีอีกด้วย ส่วนรถเมล์ก็ขึ้นง่ายบอกรายละเอียดไว้ครบถ้วน ทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เยอะเลย

ทำความเข้าใจกับมาเก๊ากันก่อน 🙂

• มาเก๊า แบ่งออกเป็นสามเกาะ คือ เกาะมาเก๊า เกาะไทปา เกาะโคโลอาน
• การเดินทางในมาเก๊า ง่ายยยยมากกกก เดินก็ได้ นั่งรถเมล์ก็สะดวก ราคาถูกด้วยค่ะ
• เงินกาปาตาร์ คือสกุลเงินของมาเก๊า ที่นี่อัตราส่วน 1:1 เท่ากับเงินดอลล่าร์ฮ่องกง
• สายการบินที่เราแนะนำคือ แอร์เอเชียค่ะ ไฟล์ทบินตรงมาเก๊าให้เลือกเยอะสุด บวกกับตั๋วโปรมาบ่อยๆ ทำให้การบิน   ไปเที่ยวต่างประเทศ ง่ายหยั่งกะปลอกกล้วย อิอิ (เอาไฟล์ทขาไปและกลับมาฝากค่ะ จะได้วางแผนเวลากันถูกเนอะ
ขาไป 06:35, 10:10, 15:45, 18:10  //  ขากลับ 10:50, 14:15, 19:50, 22:10 )
• ภาษาหลักคือภาษาจีน โปรตุเกส และอังกฤษค่ะ
• เวลาเร็วกว่าที่บ้านเราหนึ่งชั่วโมง
• อาหารที่พลาดไม่ได้คือ อาหารโปรตุเกส และ แมงกานีส
• ร้านต่างๆที่มาเก๊าส่วนมากจะเริ่มเปิดสิบโมง และปิดประมาณสี่ทุ่ม
• มาเก๊า หาข้อมูลการท่องเที่ยวได้ง่ายมากค่ะ มีทั้งเว็บบอร์ดของฮ่องกงแฟนคลับ แล้วก็ยังมีเว็บตรงอย่าง http://th.macaotourism.gov.mo อันนี้แนะนำมาก มีบอกครบทุกอย่าง สถานที่ ของกิน เวลาเปิดปิด ข้อมูลแต่ก่อนไป

อ่านกระทู้เรามาทำความรู้จักมาเก๊าแบบผิวเผินผ่านวิดีโอสั้นๆสามนาทีกันก่อนค่ะ

DAY (1)
BANGKOK -TAIPA ISLAND 

เราออกเดินทางจากกรุงเทพตอนประมาณสิบโมง ด้วยความที่ทริปพวกเราเป็นทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน เพราะฉะนั้นกระเป๋าใบเล็กๆใบเดียวอยู่ จริงๆถ้าไม่มีกระเป๋าโหลดแบบเราแนะนำให้ไปเช็คอินด้วยตัวเองที่ตู้แอร์เอเชียได้เลย จะไม่ได้ไม่ต้องไปต่อถงต่อแถว ดูเหมือนยากค่ะ แต่ไม่เลย ง่ายและแปปเดียว

พวกเรามาถึงสนามบินมาเก๊าตอนประมาณบ่ายสามค่ะ ใช้เวลาในการบินประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ สนามบินนี้ตั้งอยู่ในส่วนของเกาะไทปา เพราะงั้นเราจะเริ่มเที่ยวจากเกาะไทปาเป็นที่แรก ก่อนออกจากสนามบินอย่าลืมหยิบแผนที่แจกฟรีติดมือมาด้วยนะ เพราะสำหรับสายเดินเท้า นั่งรถเมล์และไม่ง้อแท็กซี่แล้วละก็ มันมีประโยชน์มากกก

จากสนามบินเราแนะนำให้นั่งรถ shutter bus ฟรีมาที่เดอะ เวเนเชี่ยนก่อนค่ะ จริงๆรถฟรีนี่มีของหลายคาสิโนจอดเรียงกันอยู่เลย แต่เราแนะนำของเดอะ เวเนเชี่ยน เพราะว่ารถมี wifi ฟรี คาสิโนยิ่งใหญ่ และยังเป็นจุดเริ่มต้นยอดฮิตอีกด้วย แถมที่เดอะ เวเนเชี่ยนเนี้ยยังมีรถฟรี (ฟรีอีกแล้ว!) พาเราข้ามไปส่งที่เกาะมาเก๊าอีกเช่นกัน

ย่านที่โด่งดังของเกาะไทปาคือ Taipa Street Food สวรรค์ของนักกิน! (หนึ่งในนั้นรวมพวกเราด้วย)

จะนั่งรถมาก็ได้ แต่เราแนะนำว่าให้เดินค่ะ นอกจากจะไม่เสียเงินแล้ว ถือเป็นการเริ่มทำความคุ้นชินกับบ้านเมืองเขากันก่อน การเดินที่มาเก๊าเป็นเรื่องง่ายมากกก ถ้ามีสะพานลอยขาขึ้นจะมีบันไดเลื่อน กระเป๋าหนักหรอ ไม่ต้องห่วงบางที่มีลิฟต์ จะข้ามถนนหลายเลนไม่ต้องเสี่ยง มีอุโมงค์ใต้ดินมุดลงไปโผล่มาเป็นอีกฝั่ง เพราะฉะนั้นเชิ่ดใส่แท็กซี่ได้เลยนะ

ตัวช่วยเราในการเดินแล้วไม่ให้หลงของพวกเราคือแอป maps me แผนที่ออฟไลน์ แนะนำให้ทุกคนไปโหลดนะ สำคัญมากกกกก มันจะบอกหมดเลยทั้งป้ายรถเมล์ สถานที่สำคัญ รวมไปถึงที่พักแบบไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตหา

เดินตามแผนที่มาเรื่อยๆก่อนจะถึง เราจะผ่านสวนสาธารณะเล็กๆกันก่อน ถึงจะขนาดเล็กแต่ก็เต็มไปด้วย ดอกไม้ ต้นไม้ มุมถ่ายรูปสวยๆเพียบ นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว คนมาเก๊าเขาก็นิยมมากันค่ะ  อย่างนึงที่จะบอกคือมาเก๊าอากาศหนาวนะ ช่วงที่เราไปประมาณ 16 องศาได้ จริงๆตรงนี้ทุกคนอาจจะรู้แล้ว แต่พวกเราไม่ค่ะ เสริชข้อมูลกันมาทุกอย่าง ยกเว้นสภาพอากาศ  ลงจากเครื่องเท่านั้นแหละ รู้เรื่องเลย 55555 เตรียมกันมาเลยค่ะเสื้อโค้ท ไม่เว่อร์ เราต้องสู้ เพราะที่นี่แต่งตัวกันเกาหลี แฟชั่นจัดมาก (แต่ช่วงกลางวันนี่แดดแรงอยู่นะ)

จากตรงสวนสาธารณะ เดินต่ออีกซักนิดก็ถึงแล้วค่ะ Taipa Street Food สวรรค์ของนักกิน ตรงย่านนี้จะเป็นถนนที่ไม่ยาวเท่าไหร่แต่อัดแน่นไปด้วยร้านอาหารที่น่ากินทุกร้าน แต่จะเยอะหน่อยคือ ร้านหมูแผ่น และร้านขนมที่เป็นของฝาก ระหว่างทางเดินเนี้ย ก็จะมีหมูแผ่นเอย เนื้อแผ่น คุ๊กกี้ ขนมต่างๆหยิบยื่นมาจากข้างทางให้เราชิมฟรีตลอดเวลา

ก่อนมาแนะนำให้จดลิสต์ของกินกันมาก่อนก็ดีนะ ทำเป็นแบบ check list ไปเลยเพราะมาเก๊านี่มีร้านดัง ร้านเด็ด ร้านห้ามพลาด แนะนำกันหลายร้านมาก ในเมื่อจะมาสายกินต้องเอาให้สุดค่ะ เต็มที่ 55555 ส่วนพวกเราขอสุ่มด้วยและแอบมีลิสต์มาตามเก็บร้านเด็ดเบาๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอันไหนน่ากินก็จะลุยโลดดดดดด ดังไม่ดังไม่สน เน้นน่ากินไว้ก่อนเนอะ

เริ่มกันที่เมนูแรก Jumbo fish ball 17 เหรียญ เป็นลูกชิ้นปลากลมๆใหญ่ๆในซอสแกงกะหรี่อันนี้อร่อยยยยยยย กินตอนร้อนๆกลางอากาศหนาวๆกับเบียร์นี่เด็ดสุด (เบียร์กับน้ำเปล่าราคาๆพอกัน และถูกกว่าในบ้างร้าน ไม่ต้องเดาค่ะว่าเลือกอะไร)

ถัดมาเป็นคัพเค้ก ราคา 8 เหรียญ หอมอร่อย จากร้าน Pei Kei Coffee Shop ร้านนี้ภายนอกดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาค่ะ เป็นร้านชื่อดังเก่าแก่เปิดมานานมากกว่า 30 ปี วิธีการขายไม่ใช่เป็นแผงมาตั้งขายหยิบเอาจากตระกร้านะ แต่เราจะสามารถเลือกซื้อจากถาดเตาอบ ที่เพิ่งอบเสร็จกันออกมาสดๆร้อนๆได้เลย!

พักย่อยกันหน่อย เราจะพาเปลี่ยนฟีลไปเดินรอบๆ Taipa Old Village ลัดเลาะซอยนู้นออกซอยนี้ ซึมซับบรรยากาศตึกรามบ้านช่องเขากันบ้าง ( ป่าวหรอก จริงๆแล้วรอเวลาร้านอาหารโปรตุกีสชื่อดังเปิดค่ะ แฮ่ )

เดินออกมาไม่ไกลจากโซน Street food คือจริงๆเดินสุ่มเอาก็ได้นะ เพราะตามซอยต่างๆเราจะก็เจอกับบ้านในหลายๆรูปแบบที่ต่างกันไป บางหลังเห็นแล้วนี่จะต้องวิ่งปรี่เข้าไปถ่ายรูปแน่นอนค่ะ เพราะมันน่ารักมากกกกก เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามาเก๊า มันน่ารักขนาดนี้เลยหรอ เพราะแต่ละบ้านนี่ทาสีสันกันสดใส ตัวบ้านเตี้ยๆ มีหน้าต่างประตู กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักมากกกก

เสน่ห์ของมาเก๊าอีกอย่างเราว่าคือ ความน่าค้นหาค่ะ ระหว่างข้างทางจะมีอะไรให้แปลกใจอยู่ตลอด เดินเรื่อยๆจากถนนที่เต็มไปด้วยอาหาร อยู่ดีๆก็สามารถไปโผล่ไปท่ามกลางหมู่บ้านเงียบๆได้ หรือไม่ก็โผล่ไปแถวย่านชุมชนที่มีตึกขึ้นทึบเต็มไปหมดซะงั้น แต่ถ้าเดินถัดมาอีกนิดอยู่ดีๆก็เป็นป่า

นอกจากนี้ คาเฟ่ ร้านกาแฟที่มาเก๊าก็มีไม่น้อยเช่นกัน บางร้านตกแต่งเป็นสีโทนน้ำเงินเข้ม บางร้านก็เป็นคาเฟ่เอาใจสายผักมังสาวิรัติ แต่สิ่งที่มีเยอะพอๆกันเห็นจะเป็นศาลเจ้าริมข้างทางค่ะ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แอบอยู่ตามหลืบซอกมุม สลับกันไปมาระหว่างบ้านเรือน กับร้านอาหาร บางซอยก็มีควันลอยฟุ้งออกมา เป็นเพราะข้างในมีศาลเล็กๆซ่อนตัวอยู่

อารมณ์เหมือนเราเดินอยู่ท่ามกลางเมืองยุโรป แต่เดินไปดันมีศาลเจ้า ตัวอักษรภาษาจีน อาจจะดูขัดๆกัน
แต่ทุกอย่างเมื่อมารวมตัวแล้ว นี่แหละ ‘ เสน่ห์ของมาเก๊า’

ซักประมาณหกโมงครึ่งเราเปิดแผนที่กลับมาย่าน street food เหมือนเดิมค่ะ เพราะว่าเราจะมาลองอาหารโปรตุเกส จากร้านชื่อดังกันเย้!

ร้านนี้มีชื่อว่า O Santos Comida Portuguesa เปิดให้บริการเป็นสองช่วง คือ เที่ยงถึงบ่ายสาม และหกโมงครึ่งถึงสี่ทุ่มครึ่ง เป็นร้านขนาดกลาง แต่ถ้าเทียบกับคนที่รอต่อคิวแล้ว ร้านนี่ดูเล็กไปเลย เรามาหกโมงครึ่งเป๊ะ คิวก็เริ่มยาวแล้วค่ะ แต่ว่าล็อตแรกที่ได้เข้าร้านตัดตรงหลังพวกเราพอดี ปริ่มมาก

ผนังร้านฟากนึงจะตกแต่งด้วยทีมฟุตบอล อีกฟากตกแต่งด้วยของเก่า บรรยากาศคล้ายๆบ้าน ดูน่ารักและอบอุ่นมากค่ะ การบริการจะเน้นเป็นแบบครอบครัวเหมือนคนในบ้านทำให้กินเลย ระหว่างทางเชฟก็จะเดินออกมาดู มาหยุดทักทาย แวะยิ้มให้ด้วย

เมนูที่พวกเราสั่งไปคือ ซุปหอยกาบ Clams a la bulhao pato และ หมูสามชั้นย่างเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดกับข้าวสไตล์โปรตุเกส Grilled Jelly Pork  จริงๆเมนูนี้คนนิยมกินเป็นไก่ย่างกันนะคะ แต่สายหมูกะทะเลิฟเว่อร์อย่างเรา ทนไม่ได้ที่จะไม่สั่งหมูสามชั้นจริงๆ นอกจากนั้นยังตบท้ายด้วยน้ำโซดา และน้ำผลของโปรตุเกสตัดความเลี่ยนได้ดีมากกกก ขนมปังในตระกร้านั้นเป็นของแถมค่ะ

รวมเบ็ตเสร็จทั้งหมด 380 เหรียญค่ะ จะบอกว่าคุ้มนะ เพราะอาหารให้เยอะมาก ยิ่งถ้าเทียบกับสติกเกอร์ trip advisor ที่ติดการันตีคุณภาพอยู่ที่ประตูหน้าร้านเต็มไปหมด และแถวที่รอต่อคิวกันยาวจนไปบังร้านอื่น ถือว่าคุ้มมากกกก

หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินกลับไปที่ เดอะ เวเนเชี่ยนเพื่อที่จะไปนั่งรถฟรีเข้ามาเก๊ากัน

The Venetine นครเวนิสแห่งเอเชีย และยังเป็นคาสิโนที่ใหญ่และดีเป็นอันดับต้นๆของเอเชียอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราจะปล่อยผ่านไปเฉยๆไม่ได้ ต่อให้อายุยังเข้าคาสิโนไม่ได้ก็เหอะ ยังไงก็ต้องมาชมความยิ่งใหญ่ ความอลังเว่อร์วังสวยงามของที่นี่ให้ได้ (ตะลึงตั้งแต่ประตูที่เปิดเองอัตโนมัติแล้วค่ะ ยังกะอยู่ฮอกวอร์ต)

นอกจากความทอง ความหรู ความอร่ามและความสวยงามของภาพเขียนสีบนเพดานที่มองไปแล้วรู้สึกว่านี่อยู่พิพิธภัณฑ์ที่ยุโรปรึเปล่า งง ที่นี่ยังโซนช็อปปิ้งขนาดใหญ่  Grand canal shoppes ที่เต็มไปด้วยแบรนด์ต่างๆแค่เดินเฉยๆก็อิ่มใจแล้วค่ะ

ส่วนใครอยากนั่งเรือกอนโดร่า เห้ยนี่สมญานามว่าเป็นเวนิสแห่งเอเชีย ก็ต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว จัดไป เรือดี วิวสวย คนพายหล่อ มารงมาร้องเพลงให้ฟังด้วยเขินนะ อ๋อป่าวค่ะนี่ไม่ได้ลองนั่ง แต่แค่ยืนมองดูอยู่บนสะพานก็เขินแล้วค่ะ แอร้ย

หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาทาง West Lobby ไปขึ้นรถเข้ามาเก๊ากัน จากตรงนี้มีรถบัสไปหลายที่ค่ะ แต่ถ้าจะเข้ามาเก๊าต้องขึ้นคันที่ไป Macau Ferrary Terminal ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีข้ามสะพานยาวๆก็ถึงแล้ว แต่ว่ายังไม่ถึงที่พักของเรา เดี๋ยวจะต้องนั่งรถเมล์ไปต่อกันอีก

ที่พักเราชื่อ Kou Vu Hotel ค่ะ ราคาห้องเตียงคู่ตกคนละ 300 เหรียญ ตอนแรกเราดูเพื่อไว้อีกอันคือ San Va Guesthouse ค่ะเป็นโรงแรมเก่า สไตล์คลาสสิค วินเทจ จนถึงขนาดที่ว่า หว่อง กาไว ผู้กำกับหนังชื่อดังยังมาพักเลยนะ ราคาสำหรับเตียงคู่จะอยู่ประมาณ 460 เหรียญค่ะ แต่ว่าที่นี่เป็นห้องน้ำรวม ใช้พัดลม และห้องจะวินเทจจนดูแอบเก่านิดนึงค่ะ

เราเลยเลือกโรงแรมแรกค่ะเพิ่มเงินขึ้นมานิดหน่อย แต่ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีกาน้ำร้อน ปลั๊กแบบที่ไทย เแอร์  ผ้าเช็ดตัว เครื่องทำน้ำอุ่นไว้ให้ อีกอย่างเราสามารถเห็นวิวเมืองมาเก๊าจากหน้าต่างที่ห้องได้ด้วย และสามารถจองจากอโกด้าได้เพื่อความชัวร์และไวไว้ก่อนค่ะ

แต่ทั้งสองโรงแรมอยู่ในทำเลย่านแลนด์มาร์คทั้งคู่เลยนะนั่นก็คือ Senado Square และถนนแห่งความสุขอย่าง Rua de felicidade  สะดวกแก่การเดินเก็บแลนด์มาร์คได้อย่างประหยัด ไม่ต้องเสียเงินขึ้นรถเมล์หรือรถแท็กซี่เลยค่ะ (ส่วนสายรถเมล์ที่ผ่านย่านนี้มีหลายสายมากค่ะ ยกตัวอย่างคือ 3,10A,21A,26A,33  หรือดูจากชื่อป้ายคือ Kam Pak Communitu Centre)

DAY (2)
Macau Island / Coloane Island

วันนี้เราออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพื่อที่จะเดินเก็บสถานที่แลนด์มาร์คหลักๆที่มันระยะทางใกล้ๆกันก่อน ส่วนช่วงบ่ายจะนั่งรถเมล์ข้ามไปเกาะโคโลอานที่อยู่ฝั่งเดียวกันกับเกาะไทปาอีกรอบ

ออกมาจากโรงแรมปั๊ป ร้านค้าใหญ่ๆและริมข้างทางยังไม่เริ่มเปิดกันเลยค่ะ บรรยากาศยังค่อนข้างเงียบสงบอยู่เลย เราเดินมาถึง Senado Sqaure กันก่อน นักท่องเที่ยวก็ยังคงบางตา ถ้าใครจะมาถ่ายรูปแนะนำให้มาช่วงเช้าเลยค่ะ บรรยากาศที่ได้เราจะเป็นคนท้องถิ่นมานั่งเล่น เดินออกกำลังกายซะมากกว่า

หลังจากนั้นก็เดินต่อไป Ruin of St.Paul’s ไม่ไกลจากจตุรัสเซนาโด้มากค่ะ เดินประมาณสิบนาทีก็ถึง อากาศกำลังเย็นสบาย เดินไปเรื่อยๆเพลินๆเราจะได้พบกับซากโบสถ์ที่ถูกเผาทำลาย จนเหลือแต่เพียงแค่ประตูโบสถ์ แต่ก็ยังคงความยิ่งใหญ่และความสวยงามเอาไว้อย่างดี

ที่นี่แตกต่างจากตรงเซนาโด้เลย เพราะนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ทั้งที่เวลาพอๆกัน นี่ขนาดพวกเราคิดว่ามาเช้าสุดแล้วนะ แต่อให้คนเยอะยังไงก็ไม่สามารถบดบังความยิ่งใหญ่ของซากโบสถ์ได้เลยค่ะ รู้สึกขลัง 55555

ถัดออกไปทางด้านซ้ายของซากโบสถ์ที่คนพลุกพล่าน มีวัดเล็กๆซ่อนตัวอยู่ค่ะ บรรยากาศแตกต่างกับตรงโบสถ์มากๆทั้งที่เดินออกไม่ถึงร้อยเมตร ที่นี่สงบ เงียบ มีควันธูปลอยอยู่จางๆ มานั่งพักเหนื่อยเอาแรงได้
(แถวโบสถ์เป็นอีกจุดนึงที่ร้านอาหาร และร้านขายของเยอะมากค่ะ แต่จะเริ่มเปิดกันตอน 10-11 โมง)

ส่วนด้านขวาของซากโบสถ์ เป็นที่ตั้งของ Fortaleza do monte ป้อมปราการของมาเก๊า ซึ่งที่นี้ทุกคนสามารถขึ้นไปชมเมืองมาเก๊ามุมสูงได้จากข้างบน ใช้พลังงานกันซักนิด เดินขึ้นบันผ่านกำแพงหินที่แฝงไปด้วยร่องรอยไปเรื่อยๆ เราก็จะมาถึงข้างบนกัน แต่ก่อนจะตื่นเต้นกับวิวเรามาตื่นเต้นกับ บรรดาป้าๆลุงๆกันก่อนค่ะ

ข้างบนนี้เหมือนเป็นสถานที่ออกกำลังกาย บางคนก็รำไทเก๊ก บางคนก็รำดาบ บางคนเต้นแอโรบิก เพลงไม่มีก็ร้องเองเต้นเองก็ได้ น่ารักดีค่ะ ด้วยความที่เราว่าอากาศมันดีด้วยค่ะ หนาวนิด กับวิวสวยๆ โหยเหมาะมากกับการออกกำลังกาย นอกจากนี้ข้างบนยังเป็นที่ตั้งของ Museum of Macau ด้วย (เปิดสิบโมงค่ะ)

ข้างบนนี้เราจะได้เห็นเมืองมาเก๊าจากมุมสูง แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว ยืนดูวิวพร้อมแดดอุ่นๆ และเสียงเพลงไทเก๊กที่เปิดคลอๆมากับลม บรรยากาศดีขนาดนี้ ค่าเข้าฟรีนะคะบอกเลย!

จบจากป้อมปราการ จุดหมายต่อไปของพวกเราคือ Fisherman’s Wharf เป็นสถานที่ที่ย่อส่วนสถานที่ต่างๆเอาไว้ สถาปัตยกรรมจะออกไปแนวทางโรมันค่ะ อีกทั้งยังมีจำลองพวกภูเขาไฟ โคลอสเซียม พระราชวัง เป็นจุดที่เหมาะแก่การแวะไปถ่ายรูปมากกกก (แต่ช่วงที่เราไป เขาปิดปรับปรุงบางส่วน)

นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งช็อปปิ้งกลางแจ้งด้วย ถ้าใครจะมาเราแนะนำให้มาช่วงบ่ายๆร้านค้าเริ่มเปิดประมาณ 10 11 โมงค่ะ จากแถวโบสถ์มาไกลนิดหน่อย ประมาณ 2 กิโลกว่าๆ แนะนำว่าให้นั่งรถเมล์มาดีกว่า เพราะว่าราคาแค่คนละ 3.2 เหรียญเอง ขึ้นสาย 10A  ดูชื่อป้ายใกล้ๆจากในแอปแผนที่ แล้วเอาไปเทียบกับข้อมูลที่บอกว่าสายไหนจอดที่ไหนบ้าง ที่ป้ายรถเมล์ได้เลย รถเมล์จะไปจอดฝั่งตรงข้าม เดินข้ามสะพานลอยก็ถึงเลย

วิธีการขึ้นรถเมล์คือ เราจะต้องหยอดเหรียญลงไปในกล่องข้างๆคนขับค่ะ ถ้าเกินไม่มีทอนนะ ยกตัวอย่างเช่นค่ารถ 3.2 แล้วเราจ่าย 4 เหรียญก็จะเสียส่วนต่างไปไม่ได้ทอนค่ะ อีกอย่างคือขึ้นประตูหน้า ลงประตูหลังนะ บนรถมีป้ายและเสียงคอยบอกเราตลอดเวลาว่า ป้ายถัดไปจะลงไหน

ส่วนด้านข้างๆจะเป็นวิวทะเลกว้างๆ และสะพานที่เราข้ามมาจากเกาะไทปาค่ะ หลังจากนั้น เราก็นั่งรถเมล์สายเดิม ฝั่งเดียวกับ Fisherman’s Wharf กลับมาแถวย่านเดิมของเรา เซนาโด้ แสควร์ เพื่อมาหาเดินเล่นหาของกินกันต่อ ที่นี้ตอนเที่ยงกว่าๆแตกต่างกับเมื่อเช้าอย่างสิ้นเชิง ร้านค้าเปิดกันพร้อมเพรียง คนนี่เดินกันให้พรึ่บ

แถวนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ หนึ่งเพราะเป็นแลนด์มาร์คหลักๆเลย บวกกับร้านอาหารชื่อดังอยู่แถวนี้ซะส่วนใหญ่ค่ะ ภาพที่เราจะเห็นได้บ่อยๆคือ ร้านไหนดังคนก็จะต่อคิวยาวมาก บางร้านนี่วนรอบตึกเลย ซึ่งมันเป็นแรงดึงดูดให้ต้องไปต่อตาม โธ่

เพราะฉะนั้นกลับมาเข้าสู่โหมดตะลุยกินกันอีกรอบค่ะ เริ่ม!

เมนูแรก Hot Pot Bowl อันนี้ไม่กินถือว่าผิด (เว่อร์ไป) เป็นสตรีทฟู๊ดส์ชื่อดังของมาเก๊าเลยค่ะ มันจะเป็นลูกชิ้นลวกราดในซอสแกงกะหรี่ แล้วความพิเศษคือลูกชิ้นแต่ละอันลูกเล่นไม่ธรรมดา บางไม้มีกัดไปมีไส้ทะลักมาจากข้างใน อร่อยมากกกฟิน จริงๆกินร้านไหนก็ได้นะ เพราะมันเป็นอาหารชื่อดังของมาเก๊า ร้านเลยมีเยอะพอๆกับทาร์ตไข่ แต่ร้านที่ดังขึ้นชื่อพิกัดจะอยู่ตรงซอยแมคโดนัลด์ย่านเซนาโด้ เห็นปุ๊ปเลี้ยวเข้าซอยเดินมาจะเห็นร้านเขียวๆ นั่นละค่ะต่อคิวซะดีๆ

วิธีการสั่งคือ ให้เราเลือกพวกลูกชิ้น ผัก เส้นที่เราชอบ ใส่ถาดแล้วก็ไปยืนต่อคิวยื่นให้แม่ค้าลวกพร้อมทำการจ่ายเงิน หลังจากนั้นก็ออกมายืนรอต่อคิวรับความอร่อยที่กำลังจะมาเยือนนอกร้าน ราคาขั้นต่ำจะอยู่ที่ไม้ละ 6 เหรียญ ร้านนี้เขาตัดเครื่องในแถมใส่มาให้ด้วย แต่ถ้าจะซื้อแยกก็มีเป็นถ้วยเล็กๆ น้ำแกงกะหรี่จะเข้มข้นกว่าเครื่องในได้จุใจมากค่ะ !!!!!

ของคาวเสร็จแล้ว ก็ต้องตบท้องด้วยของหวาน เมนูนี้พลาดไม่ได้ (อีกแล้ว)

‘ทาร์ตไข่’ จริงๆที่มาเก๊ามีร้านทาร์ตไข่ชื่อดังอยู่สองที่นะคะ คือร้าน Margarets Cafe e Nata ที่มาลองกันวันนี้ และอีกร้านคือ Lord Stows Bakery เจ้าของทั้งสองร้าน คือ มาร์กาเรต และลอร์ดสโตว์เนี้ย จริงๆเป็นสามีภรรยากันช่วยกันเปิดร้านทาร์ตไข่ Lord Stows Bakery จนดัง แต่ว่าดันเลิกกัน มาร์กาเรตก็เลยแยกออกมาเปิดใหม่เองที่เกาะมาเก๊า

ถามว่ารสชาติต่างกันมั้ย อร่อยเหมือนกันค่ะ การันตีได้จากคิวที่ต่อกันจนวนรอบตึกไปแล้วหนึ่งเสต๊ป แต่ว่ายืนต่อแค่แป๊ปเดียวก็ได้เข้าร้านสั่งกินแล้วค่ะ ตอนแรกว่าจะลองแค่ทาร์ตไข่ แต่เอ๊ะ สั่ง Milk tea ด้วยแล้วกัน เห็นซื้อกันติดมือออกมาคนละแก้วเลยค่ะ (เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามอะเนอะ)

ราคาทาร์ตไข่ร้านชื่อดังร้านนี้ เท่ากับร้านทั่วๆไปข้างนอกเลยค่ะชิ้นละ 10 เหรียญ ฟินความหอม กรุ่นจากเตา ยิ่งกินชานมตาม ความขมตัดความหวานได้แบบลงตัว คือดีอ่ะ

ยังค่ะ ยังไม่อิ่ม ขอตบท้ายด้วยของว่าง ระหว่างที่เรากำลังจะเดินไปแลนด์มาร์คจุดต่อไปกัน นั่นก็คือ วัดอาม่า ร้านนี้ไม่ได้ดูมาจากอินเทอร์เน็ตนะ มองหน้ากันแล้วรู้สึกว่า เห้ย น่ากินมาก จะปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด เราใช้วิธีการสั่งโดยใช้นิ้วชี้ๆๆเอาค่ะ เจ้าของร้านรู้เรื่อง เจ้าลูกกลมๆสีขาวนวลๆนั่น อร่อยมากกก

อิ่มปั๊ป ความขี้เกียจเริ่มเข้าแทรก จากเดินเราเลือกที่จะหยุดรอรอเมล์แทน ไม่ไหวแล้วววววว หนักท้อง หนังตาก็หนักตาม ค่ารถเมล์คนตกคนละแค่ 3 เหรียญเอง ไปรถเมล์แล้วกัน

สายที่ผ่านวัดอาม่ามีสาย 5,10,10A ค่ะ ปกติตามไอ้ตรงแผ่นที่คอยบอกว่าสายนี้ผ่านที่ไหนบ้าง ที่ป้ายรถเมล์ มันจะไม่บอกสถานที่ชื่อดังอย่างเช่นจะไปเซนาโด้ มันจะไม่บอกเซนาโด้ตรงตัวค่ะ แต่จะบอกเป็นย่านแถวนั้นแทน แต่วัดนี้มีชื่ออยู่บนป้ายเลย ส่วนมากจะอยู่สุดสายเขียนว่า A-mo Templo ลองดูได้เลย ไปง่ายผ่านหลายสาย

วัดอาม่าหรือ A-ma Temple ใครสายเสริมโชคดวงชะตานี่ไม่ควรพลาด วัดนี้ดังมากค่ะ มากันให้เป็นสิริมงคลกันซักหน่อยเนอะ บริเวณรอบๆตัววัด ลานด้านหน้าจะมีการแสดงเชิดสิงโต ร้านไอศครีม และมีบริการรถลากจอดอยู่ (เสียเงินนะ) ภายในวัดไม่ใหญ่มากค่ะ มีซุ้มเล็กๆขายเครื่องรางของขลังด้วย

จบจากวัดอาม่า เราจะข้ามไปเกาะโคโลอานกันค่ะ จากหน้าวัดอาม่าจริงๆมีป้ายรถเมล์สามารถขึ้นจากตรงนั้นได้เลย แล้วเดี๋ยวมันจะวนไปอีกฝั่งให้เอง แต่ตอนเราไปป้ายนั้นโดนปิดปรับปรุงค่ะ พวกเราจึงต้องข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วไปรอรถต้นสายที่สถานนี Berra เอา (วิวสวยนะ เดินลัดริมสะพานริมทะเลกว้างๆ)

จริงๆตรงนี้พวกเราวางแผนกันผิดค่ะ ถ้าไปจาก Fisherman’s Wharf จะใกล้กว่า ถ้าใครจะตามรอยเราแนะนำให้ สลับไปวัดอาม่าก่อน วัดนี้เปิดตั้งแต่เจ็ดโมง และตอนช่วงบ่ายก็ค่อยไป Fisherman’s Wharf ร้านค้าที่นั่นก็จะเปิดแล้ว เวลาจะโอเคกว่าค่ะ รถจะวนมาผ่านเวเนเชี่ยน เกาะไทปา แล้วค่อยขับตามทางมาเรื่อยๆไป เกาะโคโลอาน เห็นวนไกลขนาดนี้ค่ารถถูกมาก 6.4 เหรียญเท่าน้านนนน ส่วนรถเมล์ที่ไปถึงก็มีหลายสายเหมือนกัน เช่น 21A, 26A,

แผนเราคือนั่งเลยไปทะเล ชายหาดฮัคซากันก่อนแล้วค่อยนั่งย้อนกลับมาแถวหมู่บ้านที่โคโลอานค่ะ นั่งรถประมาณเกือบๆครึ่งชั่วโมง การมาหาดเราอาศัยดูแผนที่ในแอปเอา มันจะบอกชื่อป้ายไว้ใกล้ๆไว้ ว่าหาดใกล้กับป้ายไหน พอเลยจากหมู่บ้านโคโลอาน ทางจะเริ่มขึ้นเขาเบาๆค่ะ สองข้างทางนี่จะชะอุ่มไปด้วยต้นไม้

แต่ด้วยความที่คนน้อย รถเลยขับเร็ว ฟิ้วว เลยป้าย. แต่การเลยป้ายทำให้เราได้เจอสถานที่ใหม่อีกหนึ่งที่ค่ะ มันเป็นคล้ายๆอุทยานเล็กๆมีเส้นทางเดินป่าด้วยค่ะ แต่จากที่เราดูชาวบ้านจะพกถังน้ำเดินขึ้นไปด้วยค่ะ เหมือนไปเอาน้ำอะไรกันซักอย่าง อันนี้ไม่ได้ลองนะคะ แต่น่าสนใจมากกกกก

เดินตามแผนที่ อ้อมถนนไปนิดนึงก็จะเจอกับชายหาดที่อยู่ต่ำลงไปด้านล่าง

HAC SA BEACH ทะเลที่นี่ทรายไม่ได้ขาว น้ำทะเลไม่ได้ใส แต่มาเถอะ เราว่ามันเป็นอีกมุมของมาเก๊า อารมณ์เหมือนเราไปเล่นทะที่เชียงใหม่อะไรอย่างงั้น เพราะอากาศหนาวมาก 555 เราจะไม่ได้เห็นคนใส่บิกินี่นอนอาบแดด แต่จะเห็นคนใส่เสื้อหนาว เสื้อโค้ทนอนอ่านหนังสือที่หาดทรายแทน

ตรงหาดทราย จะมีหินก้อนเล็กใหญ่ๆสลับกันไป เหมาะแก่การขึ้นไปนั่งรับแสงแดดให้ตัวอุ่น พร้อมนั่งเก๊กถ่ายรูปแบบเผลอๆมาก  ตรงบริเวณนั้นจะมีประภาคารจิ๋ว ให้ปีนขึ้นไปดูทะเลฮัคซาในมุมสูงขึ้นอีกนิดด้วยนะ

ริมหาดจะมีร้านอาหารกลางแจ้ง อยู่สองสามร้านให้แวะนั่งกัน เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันเกือบชั่วโมง ก็เดินกลับไปอีกฝั่งของชายหาด จะไปโผล่ตรงข้ามป้ายรถเมล์ที่เรานั่งเลยในตอนแรกพอดีค่ะ

เกาะโคโลอาน เป็นเขตชนบทของมาเก๊า ที่นี่แตกต่างกับอีกสองเกาะค่อนข้างมาก หมู่บ้านที่นี่ดูสงบกว่า วิวจากตึกสูงจะเป็นภูเขาและทะเลเข้ามาแทนที่ เราชอบเกาะนี้ที่สุดค่ะ

ร้านอาหารแถวนี้จะเน้นเป็นอาหารข้างทาง แต่ถ้าเป็นร้านใหญ่ๆก็จะให้อารมณ์เหมือนร้านท้องถิ่น แต่ร้านที่ดังๆก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ ที่ห้ามพลาดเลยอีกเหมือนกันก็คือ ร้านทาร์ตไข่ Lord Stow’s Bakery ที่เราบอกไปตอนแรกค่ะ ต้นตำรับเขาตั้งอยู่ที่นี่เลย แต่ตอนนี้ขยายสาขาไปตั้งอยู่ที่ เวเนเชี่ยนด้วยนะ  นอกจากนั้นก็ยังมีร้านอาหารสไตล์แมกกานีสและจีนร้านเด็ดอย่าง Nga Tim Cafe

โบสถ์แห่งความฝัน St.Francis Xavier โบสถ์สีเหลือง ประตูสีฟ้า เล็กๆน่ารักตกแต่งสไตล์บารอคนี้ อยู่ห่างจากป้ายรถเมล์ที่เราลงเพียงแค่ 100 เมตร ภายในเข้าไปถ่ายรูปได้แต่ต้องทำตัวให้สำรวมด้วยนะ ภายในโบสถ์ก็น่ารักไม่แพ้กันค่ะ ถ้าโชคดีบางทีจะมีคนมานั่งเล่นเครื่องดนตรีในโบสถ์ด้วย

เราออกมาจากโบสถ์ตอนห้าโมงครึ่ง ตรงข้ามตัวโบสถ์จะเป็นทะเล ฉากหลังจะเป็นบ้านเรือน ภูเขา กังหันลม และพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก สวยมากค่ะ เป็นความบังเอิญมาก ที่เรามัวแต่เรื่อยเปื่อยอยู่ทะเลนาน แวะซื้อของที่เซนาโด้บ่อย ทำให้เวลามันพอเหมาะได้มาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่พอดี

นอกจากแลนด์มาร์คในเมืองที่ต้องไป เราขอแนะนำให้ใส่ นั่งดูพระอาทิตย์ตกที่เกาะโคโลอาน หรือ เดินบนสะพานหอมนางรมที่ยื่นออกไปกลางทะเล ลงในลิสต์สิ่งที่ต้องทำเมื่อไปมาเก๊าด้วย เพราะว่ามันสวยมากกกก ของจริงสวยกว่าในรูปอีกนะ จะไปซื้อทาร์ตไข่ กาแฟมานั่งกินไปด้วย ก็เพิ่มความฟินไปอีกคูณสองค่ะ

เรานั่งรถกลับมาถึงเกาะมาเก๊า พักให้หายเหนื่อยที่โรงแรม แล้วออกมาซ่าต่อคืนนี้เอาให้สุดเพราะเป็นคืนสุดท้ายแล้วค่ะ

เซนาโด้ ยังคงคนเยอะถึงแม้ว่าจะสองทุ่มแล้วก็ตาม เราเดินตามหาร้านอาหารแมงกานีส อาหารที่เป็นการผสมผสานระหว่างจีนและโปรตุเกสจนออกมาเป็นอาหารขึ้นชื่อของมาเก๊า ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Estabelecimento de Comidas Cafe สั้นๆก็ Quninella ค่ะ 5555

มีเมนูรูปแปะอยู่บริเวณรอบๆด้านในร้านค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวัล สั่งได้กินได้แน่นอน เราสั่งซาร์ดีนย่าง และซุปไก่สไตล์แมกกานีส พร้อมชามะนาวอีกแก้วนึง ระหว่างรอก็จะมีชาจีนมาเสิร์ฟให้ฟรีก่อน

ชามะนาวแบบในรูปอร่อยมากค่ะ มีเนื้อเลม่อนขูดมาให้เคี้ยวเล่นด้วยย หวานเปรี้ยวกำลังพอดี ส่วนในเรื่องอาหารความเค็มของซาร์ดีน ตัดรสเลี่ยนของซุปได้ดีมากกก (เริ่มจะเหมือนรายการอาหารเข้าไปทุกที) เช็คบิลล์ออกมาทั้งหมด 90 เหรียญค่ะ ตกแล้วคนละ 45 เหรียญอาหารจานใหญ่ อร่อย แปลกใหม่ คุ้มสุดๆ

เรานั่งกินกันจนประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง แล้วก็ออกมาเดินเล่นต่อค่ะ ร้านค้าแถวนั้นก็เริ่มทยอยปิดกันแล้วค่ะ แต่นักท่องเที่ยวยังคงมีเดินกันอยู่เยอะพอสมควรค่ะ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราไปอิ่มใจกันบ้างงงง เราจะไปดูโชว์แสงสีน้ำพุที่ wynn hotel กัน โอโหอลังการขนาดนี้พูดเลยว่า ฟรี! ตอนแรกเราก็คิดว่าจะไปกันดีมั้ย เพราะแอบคิดว่ามันจะน่าเบื่อ แต่เอาวะคืนสุดท้าย ไม่ดูไม่รู้ จากย่านเซนาโด้เดินไปประมาณ 10 นาทีค่ะ ไม่ไกลมากเดินเพลินๆชมแสงสีบ้านเมืองไปเรื่อยก็ถึง

การแสดงจะเริ่มทุกๆ 15 นาที ลานแสดงจะอยู่ข้างหน้าโรงแรมเลยค่ะ เป็นบ่อน้ำใหญ่ๆแบบใหญ่มากกกก ยืนรอซักแป๊ปการแสดงก็เริ่มขึ้น พูดเลยว่าสวยมากกกกกก สวยแบบของฟรีมันจำเป็นจะต้องสวยอลังการเบอร์นี้เลยหรอ แบบว่าพอน้ำพุเริ่มโผล่มา เราสองคนพี่น้องนี่ไม่พูดไม่จา ตั้งใจดูกันมากกกกค่ะ แนะนำเลยนะต้องมาดู ของฟรีและดีมีจริงที่มาเก๊า คอนเฟิร์ม

อีกอย่างที่เราอยากให้ทุกคนลองทำ คือนั่งหรือไม่ก็ยืนอยู่หน้า wynn hotel ช่วงรอน้ำพุนี่ละค่ะ ที่โรงแรมจะเปิดเพลงชิวๆ แบบเพลงที่มันควรเปิดที่ทะเลอะ 555555 แต่นี่มาเปิดท่ามกลางเมืองที่แบบตึกขึ้นกันสูงชะรูด ระหว่างฟังเพลงก็ดูแต่ละคาสิโน ที่เขาเปิดไฟแข่งกันตามตึก มันเป็นความรู้สึกขัดๆกัน แต่เราชอบมากค่ะ

ระหว่างเดินกลับ คนเริ่มน้อยลง ร้านค้าที่นี่เริ่มกลับเข้าสู่โหมดเงียบเหงาอีกรอบ แต่ไฟจากตึกคาสิโนยังทำให้รู้สึกเหมือนเมืองนี้ไม่เคยหลับใหล ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ยังไงก็แล้วแต่ ค่ำคืนนี้ก่อนที่จะลามาเก๊าไป เราจะต้องปิดท้ายด้วยการกินสตรีทฟู้ดส์กันอีกซักรอบค่ะ ร้านนี้เป็นทางผ่านระหว่างเดินกลับที่โรงแรม จริงๆป้าแกก็จะปิดร้านแล้ว แต่เห็นพวกเราไปยืนด้อมๆมอง เลยเปิดต่อ 55555

บาร์บีคิวเริ่มต้นที่ ไม้ละ 6 เหรียญ จนไปถึง 32 เหรียญเลยค่ะ มีตั้งแต่มะเขือยาว ถั่วฝักยาว กุ้ง กั้ง เนื้อไก่ มีหมด แต่ถึงจะเป็นลูกค้าคนสองคนในร้าน แต่ป้าตั้งใจย่างให้อย่างดีเลยค่ะ  ค่อยๆพลิกกลับด้าน ค่อยๆใส่เครื่องปรุงผักโรยต่างๆ ผลสุดท้ายรสชาติออกมาก อร่อยสมความตั้งใจของคุณป้าเลย

DAY (3)
Macau / Bangkok

ถึงเวลาบอกลาเมืองน่ารัก และมีเสน่ห์อย่างมาเก๊ากันแล้ว ไฟล์ทขากลับเรากลับแอร์เอเชียอีกเช่นเคย เครื่องออกตอนสิบเอ็ดโมงค่ะ แต่เราออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าค่อยๆนั่งเมล์ไปกันเรื่อย สำหรับใครที่จะซื้อของฝาก แล้วมีบินไฟล์ทเช้า เราแนะนำให้ซื้อเตรียมตัวไว้ก่อนอีกวันเลยนะ

เพราะร้านค้าต่างๆจะเริ่มเปิดกันตอน 10-11 โมงค่ะ ถ้าสมมุติใครไปแล้วพักที่โรงแรมเดียวกับเรา เจ้าร้านหมูกรอบ ของฝากชื่อดังที่เราจะเห็นสาขาอยู่ทั่วมาเก๊าอย่าง Koi Kei Bakery นี่อยู่ตรงข้ามโรงแรมเลยค่ะ สะดวกมากกกกกกก ส่วนรถฟรีจากเดอะ เวเนเชี่ยนไปสนามบิน ก็เริ่มบริการที่สิบโมงเหมือนกันค่ะ

เรามาถึงสนามบินตอนประมาณเกือบเก้าโมงเช้า ที่สนามบินมีไปรษณีย์ด้วยเพื่อใครจะแวะมาส่งโปสการ์ดที่นี่ก็ได้ค่ะ โปสการ์ดซื้อได้จากร้านค้าข้างๆเลย อีกอย่างที่สนามบินมี free wifi นะ เล่นให้กระจุยระหว่างรอเครื่องออก ส่วนเหรียญที่เหลือเราแนะนำให้เอาไปหยอดตู้ขนม ตู้น้ำด้วย เพลินมากกกก ก่อนลากันไปเราขอใช้บทส่งท้ายรีวิวอาหาร เครื่องดื่มที่กินไปตอนระหว่างเดิน และระหว่างทริปส่วนที่เหลือค่าา

• บันไก่พริกไทย 8 เหรียญ ตามร้านเบเกอรี่ทั่วไปมีขาย
น้ำผลไม้ที่ราคาถูกกว่าน้ำเปล่า เรากินกันแทนน้ำเลยค่ะ รสองุ่นอร่อยสู้ดดดด
ขนมหยอดตู้ที่สนามบินค่ะ อันละ 8 กับ 12 เหรียญ และน้ำ 10 เหรียญค่ะ

ได้เวลาขึ้นเครื่องกลับบ้านกันค่ะ อากาศยังคงหนาวสะท้านเหมือนเดิม และขอปิดท้ายอาหารด้วย อาหารบนเครื่อง ข้าวเหนียวมะม่วงอร่อยมากกกกกกก

มาเก๊า อารมณ์เมืองนี้อาจจะเหมือนยุโรป ตึกคาสิโนต่างๆหรู อลังการกันมาก หลายๆเลยอาจจะคิดว่าแพงกัน แต่จริงๆแล้วมาเก๊าใช้งบน้อยมาก อันนี้เป็นรายละเอียดค่าใช้จ่ายค่ะ

BUDGET

ทริปนี้ 3 วัน 2 คืน ไป 2 คนค่ะ ราคานี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน แล้วก็ค่าที่พักเพื่อนๆสามารถประหยัดได้กว่านี้อีก ราคาเราอันนี้เป็นราคาช่วงเทศกาลค่ะ

DAY1 
FOOD 444 เหรียญ
ของหวาน/มื้อเย็น/อาหารข้างทาง/น้ำดื่ม
HOTEL 600 เหรียญ
BUS 7 เหรียญ

DAY2 /DAY3
FOOD 394 เหรียญ
อาหารข้างทาง/ของหวาน/มื้อเที่ยง/มื้อเย็น/มื้อดึก/น้ำดื่ม
HOTEL 600 เหรียญ
BUS 68 เหรียญ

สำหรับ 2 คน หมดไปทั้งหมดประมาณ 2,120 เหรียญ (เงินไทยประมาณ 10,000 บาท เรท 4.7 ค่ะ)

สรุปแล้ว ต่อคน 5,000 บาท / 3 วัน 2 คืน /คน (ไม่รวมตั๋วเครื่องบินนะ)  จะเห็นได้ว่าทริปนี้ค่าของกินจะเยอะหน่อย แต่เราได้เข้าร้านอาหารโปรตุเกสชื่อดังกันตั้ง 2-3 ร้าน อิ่มท้องกันทุกวันค่ะ ส่วนค่าเดินทางเราเน้นเดินเป็นส่วนใหญ่เลยเสียเงินให้กับส่วนนี้น้อยมาก

มาตกหลุมรัก มาเก๊า กันเร็ว ฮิ้วววววว (:

Share the Post:

Related Posts

Land of Mountain and Meadows ‘New Zealand’ : ขับรถเที่ยวนิวซีแลนด์สัมผัสธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่แห่งเกาะใต้

อยากเกิดเป็นแกะที่นิวซีแลนด์ ประโยคนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่ เพราะหลังจากได้ไปเห็นด้วยตาเนื้อมาแล้วน้านนน  บอกเลยว่าถ้าชาติหน้าต้องเกิดเป็นแกะ แพะ วัว หรือเป็ด เราขอปักหมุดโลเคชั่นเป็นที่นี่แล้วกัน ยอมนอนเล็มหญ้าชิลๆ ก่อนโดนเชือด อย่างน้อยถ้าจะขิต

Read More

WEST COAST ROAD TRIP : ขับรถตะลุยอเมริกาฝั่งตะวันตก เก็บรวด 4 รัฐ CALIFORNIA / NEVADA / ARIZONA / UTAH

หลังจากอดเดินทางไปต่างประเทศเกือบสองปี ในที่สุด! เราก็ได้ออกเดินทางกันอีกครั้ง จุดหมายครั้งนี้คือ ‘อเมริกา’ อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าความอลังการของธรรมชาติที่นู่นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน สถานที่ที่บอกว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ นี่มันจะขนาดไหนกันเชียววว ทริปนี้เลยจัดไปเน้นๆ 43

Read More