‘พม่า’ ตอนแรกไม่เคยผุดขึ้นมาในหัวเลยค่ะ เพราะหนึ่งคิดไปเองว่ามีแต่วัด ไอ้เราก็ไม่ใช่สายธรรมะอ่ะเนอะ ใจคอจะให้ไปตระเวนทำบุญไปวัดมันก็ไม่ช่ายยย 5555 บวกกับสองเพื่อนต่างชาติที่เคยไปมานางบอกว่าพม่าอิส Nothing ไอ้เราก็เชื่อคนง่าย นอตติงๆงั้นก็ไว้ก่อนแล้วกัน จนมานั่งหาข้อมูลจริงๆเพราะอยากลองไปให้มันรู้ซะทีก็พบว่า นอตติงบ้านแกกกสิ ที่เที่ยวพม่าเย๊อะมากกกว้อย
อยากจะไปมันสักสองอาทิตย์เลย คือใจเราอ่ะมันมา เวลาเราก็ได้ แต่ตังค์เราไม่ได้ไง๊
สรุปแพลนลงเอยที่ 6 วัน 5 คืน มัณฑะเลย์-พุกาม-พิลอูวิน
กระทู้นี้เราจะพาทุกคนไปนั่งรถม้าชมเมืองเก่า แว้นมอไซค์ปีนเจดีย์ดูพระอาทิตย์ขึ้นและตก
ต่อด้วยนั่งรถไฟผ่านสะพานที่สูงเป็นอันดับสองของโลก และจบท้ายด้วยการแวะเล่นน้ำตกที่สีฟ้าใสแจ๋วหยั่งกะบลูลากูน
ก่อนเริ่มมีวิดีโอสั้นๆ
มาให้ดูกันก่อนนน
เราจะเล่าแยกเป็นตอนๆในแต่ละเมือง โดยเริ่มที่พุกามก่อนเป็นเมืองแรก แต่จริงๆเราบินลงมัณฑะเลย์นะ
บล็อคนี้จะยาววววหน่อย เพราะนอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้วเรื่องราวที่เจอระหว่างทางนี่ก็ประทับใจไม่แพ้กัน
BAGAN :: ‘พุกาม’ เมืองแห่งทะเลเจดีย์
จากมัณฑะเลย์ มาพุกามมีรถบัสให้เลือกเยอะค่ะ แต่เราเลือกรอบที่ดึกที่สุดก็คือสามทุ่มครึ่ง เพื่อที่จะไปให้ถึงพุกามเวลาตีสามครึ่ง (ประหยัดที่พักไปได้หนึ่งคืน) จองกันไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ไทย ผ่านเว็บ https://bnfexpress.com
หารค่าธรรมเนียม ก็ตกคนละ 8.3 ดอลล่าร์เอง
ขึ้นรถที่สถานีขนส่ง Kywel Sel Kan
ระหว่างนั่งรอ นายสถานี(คิดเอง)แกก็เดินออกมาจากห้องมายืนจ้องพวกเรา
ตอนแรกก็งง อะไรของลุงเนี้ยย พอเราควักที่ชาร์ตแบตออกมาเท่านั้นแหละ รีบชี้ให้ไปชาร์ตในห้องตัวเองได้เลย ยังไม่พอนะ เห็นเรายกกระเป๋าไปมา ลุงรีบเรียกไปถามว่า What do you want? แปลเป็นไทยเองว่า
พวกเมิงต้องการไรกันอีกเนี่ย 55555 (ใจดีจังงง)
รถบัสวิ่งยาวเลยนะไม่มีหยุดพัก แต่มีแจกน้ำดื่มกับผ้าเย็นให้
พอถึงพุกามปั๊ป ก็จะมีคนขึ้นมาขายตั๋วเข้าเมืองพุกาม ราคา 25,000 จ๊าด
(นักท่องเที่ยวทุกคนต้องจ่าย! และห้ามทำหายเพราะเขาจะสุ่มตรวจตามเจดีย์ต่างๆ)
รถบัสจะไปสิ้นสุดที่สถานี Bagan Shwe Pyi Highway ค่ะ
แต่เราพักกันแถวโซน Nyaung U ซึ่งมันเป็นทางผ่าน คนขับเลยแวะส่งได้
(แนะนำให้เลือกที่พักโซนนี้นะ หนึ่งถูก สองทางผ่านรถบัส จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างรถไปโรงแรมอีก)
ที่พักเราชื่อ Shwe Nadi Guesthouse
อยู่ติดกับถนน ตรงข้ามเป็นร้านบอลลูนและร้านเช่าอีไบค์ ข้างๆก็เป็นร้านทัวร์ด้วยแหละ ทำเลดี
ห้องพักใช้ได้ แอร์เย็นฉ่ำแต่ไฟดับบ่อย อาหารเช้าอร่อย(และฟรี)เลยทดแทนกันได้
เรานอนห้องสามคน ตกแล้วคนล่ะ 10$ เท่านั้น
ข้อมูลโรงแรมบอกว่าเคาท์เตอร์เช็คอินเปิดตลอด 24 ชั่วโมง จัดไปจ้า ถึงโรงแรมตีสองเงียบกริ๊บ!
แต่คนขับก็ใจดีลงไปช่วยเรียกพนักงานให้ แก๊งค์ลุงฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปักหลักนั่งก๊งเหล้าก็ไม่แพ้กัน
คอยส่งกำลังใจมาให้ผ่านทางสายตา มองกันตาเขม็งเชียวแหละ!
สรุปเคาท์เตอร์หนะเปิดจริง แต่แค่พนักงานนอนหลับกันอยู่หน้าเค้าท์เตอร์ค่ะ 555555
เวลาเช็คอินคือเก้าโมงเช้า แต่ถ้าเช็คอินเลยตอนนี้จะต้องเสียเงินเพิ่ม
เราก็เลยนั่งรอแล้วกัน เพราะเดี๋ยวตีห้าก็จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
ระหว่างรอเวลาก็ผลัดกันไปอาบน้ำแต่งตัว
เดินกลับมาจากห้องอาบน้ำอย่างสบายใจ ภาพที่เห็นคือหนึ่งในพนักงานที่นอนอยู่หน้าเคาท์เตอร์นั้นนนน
โสร่งเปิดเด้อออออออ คือผู้ชายพม่าเนี้ยเขาใส่โสร่งกันอันนี้เราเข้าใจ
คือเมิงใส่โสร่งอ่ะได้ แต่เมิงไม่ใส่กางเกงในไม่ไดดดดดดดดด้
โอโหหหห มาเป็นพวงเลยจ้า ฮือออออ กลมกว่าพระอาทิต์ที่จะไปดูเช้านี้อีกกก
พาหนะในการเดินทางที่พุกามของพวกเราคือ E-Bike ค่ะ มันเป็นมอไซต์แบบชาร์ตแบต
เช่ากับที่พักได้เลย ราคาทั้งวันนั่งได้สองคน คันละ 7,000 จ๊าด
เช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยการ ขี่เจ้าอีไบค์ออกจากที่พักตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ณ เจดีย์ฮอตฮิตอย่าง Shwesandaw
มืดก็มืดแต่ต้องสู้ค่ะ พอถึงแล้วก็ต้องรีบๆปีนเจดีย์ขึ้นไปจับจองที่นั่ง ไอ้ตอนปีนไม่ทันมอง พอสว่างมานี่โหหอย่างสูงงง
(จงโหลดแอฟ maps.me แผนที่ออฟไลน์ไปกันนะคะ ชีวิตจะได้ง่ายขึ้นนน)
เรามาช่วงหน้าฝน เมฆมันก็จะเยอะมากกก แต่ดีแค่ไหนแล้วที่ฝนไม่ตกเนอะ
ท่ามกลางความเงียบที่มีแต่เสียงรัวชัตเตอร์ พระอาทิตย์ก็โผล่จากเมฆ ให้เราได้เห็นกันแบบเต็มๆตาอยู่ช่วงเวลานึง
แล้วก็หายวั๊บกลับเข้าไปในเมฆเหมือนเดิม ถึงว่าช่วงที่เรามาจะไม่มีบอลลูนก็ตาม
แต่มันก็สวยยยยยมากกกกกกกก นั่งปริ่มกันทั้งเจดีย์
(เพราะฉะนั้นคนที่จะมาช่วงไม่มีบอลลูนแล้วล่ะก็ไม่ต้องเสียใจไป)
แต่เดี๋ยวก่อนน อย่าเพิ่งรีบลงจากเจดีย์นะ
เพราะเราคิดว่าชอตที่สวยไม่แพ้กัน ก็คือหลังพระอาทิตย์ขึ้นเนี้ยแหละ
ทะเลเจดีย์กว้างๆ ที่ถูกแสงพระอาทิตย์สาดดด เห็นหมอกจางๆลอยอยู่ไกลๆ เป็นอะไรที่ดีต่อใจมากกกก
พวกเรานั่งถ่ายรูป ดูนั่นดูนี่กันไปเพลินๆปาไปเกือบชั่วโมงแหนะ
หลังจากนั้นเราก็ขี่รถกลับที่พักมาเช็คอิน กินข้าว แล้วก็นอนอีกสักงีบ
ออมแรงไว้ก่อนจะออกไปแว้นมอไซต์กันต่ออีกทั้งวัน อาหารเช้าของที่พักนี่ดีมากกกค่ะ
พนักงานจะเดินมาถามตลอดเวลา เอาอีกมั้ย? อร่อยมั้ย? พอรึเปล่า? ผลไม้ ปาท่องโก๋ ชา กาแฟจัดเต็มมาก
เจดีย์ที่พุกามจริงๆแล้วมีมากกว่าสี่พันองค์ แต่ปัจจุบันเหลือแค่สองพันกว่าๆเท่านั้น
เราว่ามอไซต์นี่แหละเหมาะสุดในการตะลุยพุกาม เข้าเจดีย์นู้นออกเจดีย์นี้ เผลอๆเจอเจดีย์ใหม่อีก โครตมันส์
แต่ก็ต้องแลกมาด้วย ตัวเกรียม หน้าเกรียมนะ แดดคือแบบเผามากกก กลับมาถึงที่พักสภาพคือ หมูย่างดีๆนี่เอง
เจดีย์ วิหาร และวัดต่างๆของที่นี่ ก็จะมีประวัติความเป็นมาที่แตกต่างกันไป
แนะนำว่าให้หาอ่านมาด้วย นิดหน่อยก็ได้ ระหว่างเดินเที่ยวอยู่ในสถานที่จริงงี้จะอินมากกกก
แต่ละที่ก็จะมีบางจุด บางมุมเฉพาะที่น่าสนใจควรเดินไปดูต่างกัน เช่นพระพุทธรูปองค์ไหนแปลก
ของชิ้นไหนในอดีตที่ยังคงมีอยู่อะไรอย่างงี้ จะได้มาแล้วไม่เสียเที่ยวเนอะ
แนะนำกระทู้นี้ค่ะ รวบรัดเข้าใจง่าย https://pantip.com/topic/35526056
และต่อไปนี้คือเจดีย์ วิหาร สถานที่ท่องเที่ยวในพุกามที่พวกเราไปแวะกันมา
เรียงตามความใกล้จากที่พักเราเลย กฎที่ทุกที่จะมีเหมือนๆกันก็คือ…
ห้ามใส่สั้น / ห้ามสายเดี่ยว / ห้ามถุงเท้า / แล้วก็ห้ามรองเท้าด้วย
บางวัดนี่ให้ถอดกันตั้งแต่หน้าประตูเลย!
Shwezigon Paya :: มหาเจดีย์ชเวสิกอง
เจดีย์สีทองเหลืองอร่าม ที่เป็น 1 ใน 5 ของมหาบูชาสถานสูงสุดในจิตใจของชาวพม่า
ที่นี่จะมีหลุมน้ำเล็กๆ ไว้สำหรับมองเงาของยอดเจดีย์ที่สะท้อนลงมา อันนี้เราไม่เห็นนน (หรือว่าบุญไม่ถึง)
แล้วยังดันไปตอนที่เขาปิดซ่อม คลุมด้วยเสื่อพอดีอีกนะ ฮือออ
Htilominlo Temple :: วิหารติโลมินโล
เป็นเจดีย์ฉัตรตั้ง และยังเป็นวิหารองค์สุดท้ายที่มีการสร้างในแบบสถาปัตยกรรมพุกามด้วยค่ะ
ใครหาซื้อของที่ระลึกที่นี่มีหลายร้านให้เลือกเลย พร้อมมีถังคูลเลอร์น้ำเย็นให้กรอกใส่ขวดไว้กินด้วย ฮ่าๆ
(เจดีย์อื่นก็มีนะ)
ระหว่างเดินๆอยู่ ก็จะมีชาวบ้านมาบอกว่า ตรงนู้นมีเจดีย์สวย มองเห็นวิหารนี้ได้ทั้งหลังเลยตามฉันมาสิๆ อะไรแบบนี้
คือเขาก็ไม่ได้หลอกนะ มันก็คงมีจริงๆแต่อาจจะเก็บค่าทิปจากเราด้วย นี่ไม่กล้าลองได้แต่แต๊งกิ้วแล้วเดินจากไป
Khaymingha :: กลุ่มเจดีย์ขนาดย่อม
ตรงบริเวณนี้จะเป็นจุดที่มีเจดีย์เล็กๆหลายอันวางเรียงกันอยู่ หาประวัติไม่เจอแต่หาทางมาในกูเกิ้ลแมพเจอนะ
อยู่ติดๆกับถนนเลย เหมาะสำหรับการมาเดินเล่นถ่ายรูปมากกก
ระหว่างที่เดินถ่ายรูปเล่นอยู่นั้น ก็มีชาวบ้านที่เป็นคนคอยดูแลเจดีย์
เดินเข้ามาพยายามบอกเราว่า ไปตรงนู้นสิๆมีเจดีย์ที่สามารถปีนขึ้นไปได้อยู่ (อันนี้เป็นประโยคจินตนาการของเราเอง
ความจริงลุงแกพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ทำท่าชี้ และทำท่าปีนให้ดู แหะๆ)
นี่ก็ตื่นเต้น ลืมไปเลยว่าลุงมาวิธีเดียวกับวิหารอันก่อนรึเปล่า
ลุงแกไม่ได้พูดอังกฤษคล่องปรื๋อ บวกกับที่ที่ลุงชี้ไปคือมันก็เห็นเจดีย์อยู่ไม่ไกลมาก แบบว่าเออคงไปเองได้
ลุงน่าจะใจดีบอกเฉยๆ ไม่น่าหลอกอ่ะ (แต่ระหว่างนั้นลุงก็วนเวียนมายืนมองเรื่อยเลยนะ 55555)
สุดท้ายพอลุงเดินไปไหนไม่รู้ เราก็ขี่มอไซต์ไปเจดีย์ที่ลุงบอกกัน
พอหันหลังเท่านั้นแหละ เอ้าชริบหายยย ลุงเดินตามมาวะ 5555555555
เออยอม! ไปด้วยกันนี่แหละ
ได้มาซึ่งเจดีย์ต่อไปนี้….
Ok Dok Gi :: เจดีย์ลึกลับกลางทะเลทราย
ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเขียนแบบนี้มั้ย ลุงแค่ออกเสียงให้ฟัง
กลายเป็นว่าแทบจะกราบลุงเลยแหละ เพราะระหว่างทางที่ไม่ถึงร้อยเมตร ด้วยความที่มันเป็นทราย
มอไซต์ทั้งล้ม ทั้งติดหล่ม ลุงแกก็มาช่วยเข็น
ภายในตัวเจดีย์ก็คือมืดมากกก บวกกับเป็นทางบันไดแคบๆขึ้นไปด้านบน แต่ไฟฉายลุงพร้อม
อิพวกนี่ก็ใจง่ายเดินตามลุงเฉยเลย (ถ้ามาคนเดียวไม่แนะนำนะ น่ากลัวววมาก)
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือเกินคาดค่ะ สวยมากกกกกกกกกกกก
เห็นวิหารติโลมินโลแบบเต็มๆตา พร้อมมุมถ่ายรูปที่เป็นแท่นให้ขึ้นไปนั่งเคียงคู่กับวิหารติโลมินโล
เลิศศศศสุด จัดไปงามๆ ให้ทิปลุงด้วยความเต็มใจไป 2,000 จ๊าด อิอิ
Bupaya Pagoda :: เจดีย์บูพยา
เจดีย์รูปทรงน้ำเต้าที่ตั้งอยู่ข้างๆแม่น้ำอิรวดี เวลาล่องเรือผ่านก็จะเห็นตั้งอยู่เป็นสีทองโดดเด่น
สำหรับที่นี่ไม่มีอะไรมาก แต่จำได้ขึ้นใจ เพราะว่าทำโกโปรหายยยยยยยยยยยย T_T
เป็นช่วงเวลาของการถอดรองเท้าออก ใส่รองเท้าเข้า ถอดๆใส่ๆเป็นไงล่ะ ถอดโกโปรวางลืมไว้ไปด้วยเลย
กว่าจะรู้ตัวก็นู้นอีกสองวัดถัดไป กลับมาก็ไม่อยู่แล้วจ้า
Sulamani Pagoda :: มหาวิหารสุลามณี
วิหารนี้จะคล้ายๆ วิหารติโลมินโลเลย
แต่ร้านค้าจะเขยิบออกมาไกลอีกหน่อย ทำให้ที่นี่ถ่ายรูปสวยมากก
โดยเฉพาะตรงทางเดินเส้นสีขาวๆ ที่ทอดยาวจากตัววิหารไปยังประตู
แต่พูดเลยว่า ในวันที่อากาศร้อนระอุเช่นนี้ บวกกับต้องถอดรองเท้าตั้งแต่หน้าประตูวัดนั้นนน
ร้อนนนนนตินแทบพองจ้า ภายในวิหารจิตรกรรมฝาผนังก็โดดเด่นไม่แพ้กันน
Ananda Pahto :: วัดอนันดา
เป็นวัดสีขาว ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตย์ของพุกามกันเลยทีเดียวเชียว
จากข้อมูลที่เขาบอกมาเราขอยืนยันว่าเป็นความจริง สวยมากกกกก มันดูแตกต่างจากทุกวัดที่ไปมา
นี่ขนาดส่วนยอดปิดซ่อมอยู่นะ ขอโทษที่มีรูปมานิดเดียววว
ลงเดินกันไม่ถึงสิบนาที คิดได้ว่าโกโปรหาย
เลยต้องรีบแว้นซ์กลับไปหากัน
ระหว่างทางขี่มอไซต์ไปที่ต่อไป
เราก็ป๊ะกับแก๊งค์สาวสาวสาว ที่ยืนเลี้ยงวัวกันอยู่แถวเจดีย์
วัวเยอะแบบเยอะมากกก เลยแวะหยุดลงไปถ่ายรูปกันสักหน่อยยย
พาหนะที่นี่นอกจากจะมีแท็กซี่ อีไบค์ จักรยาน รถม้าแล้ว
เกวียนก็มีเหมือนกันนะ จะลากโดยวัวที่แต่งองค์ทรงเครื่องมาเต็ม เหมาะกับคนที่อยากมาซึมซัมพุกาม
เพราะว่าความสปีดในการเดินทางนี่ช้ามากกกก
Manuha Phaya :: วิหารมนูหะ
หรือวัดอึดอัด แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว แต่ประวัติน่าสนใจยิ่งกว่าาา
ที่นี่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์มอญที่ถูกจับมาเป็นเชลยค่ะ เป็นการสร้างเพื่อระบายความอึดอัด คับแค้นในใจระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ จนกลายมาเป็นอย่างที่เห็น พระพุทธรูปจะมีขนาดใหญ่โตจนคับตัววิหารเลย เจ๋งมากคิดได้ไง
Dhammayangyi Temple :: วัดธรรมยังจี
เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีประวัติน่าสนใจมากกกกเหมือนกัน แถมยังใหญ่และสง่างามที่สุดในพุกามอีกด้วย
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้านราธูกษัตริย์จอมโหดแห่งราชวงศ์พุกามเนี้ย ได้ฆ่าทั้งพ่อและพี่ชายตัวเองเพื่อที่จะได้ขึ้นครองราชย์ หลังจากนั้นก็กลัวเวรกรรม เลยสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อล้างบาป
แต่กระนั้นนน ก็ยังเกณฑ์แรงงานชาวบ้านให้มาช่วยกันสร้าง
โดยตั้งกฎว่า อิฐที่วางเรียงนั้นต้องวางให้แนบสนิท ห้ามมีช่องว่างให้เข็มสอดได้!
ใครที่วางไม่เรียบก็จะถูกนำไปตัดมือตามระเบียบ (อ้าว บาปกว่าเดิมซะงั้น)
ลองไปเดินดูค่ะ อิฐนี่เรียบแน่นจริงงง
ส่วนแท่นที่เป็นเครื่องตัดมือ ก็ยังมีวางแสดงให้เห็นด้วยนะ
ที่นี่เข้าไปจะรู้สึกขลัง และแอบน่ากลัวหน่อยๆ เหม็นขี้ค้างคาวด้วย 55555
หลังจากนั้นถึงอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เรารอคอย คือการไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกกกกก
เจดีย์ที่เราไปรอบนี้ คือ Bulethi Pagoda หรือเจดีย์บูเลตินั่นเองง เป็นอีกหนึ่งเจดีย์ที่ดังพอตัว
แต่ขนาดเล็กลงกว่าชเวสันดอร์เย๊อะะะ ทำให้คนจะดูแน่นๆกว่า
ระหว่างทางไป ก็เปิดแมพในมือถือดูไปด้วย หลงนิดนึงเพราะแมพมันโชว์ว่าเจดีย์อยู่ข้างๆเราให้เลี้ยวเข้าไป
แต่คือมันไม่มีทางเลี้ยวไง เด๋อๆด๋าๆกันอยู่ ก็มีคนพม่าขี่อมอไซต์มาขนาบข้าง บอกว่าตามฉันมาสิ เดี๋ยวพาไป My pagoda สวยกว่าบูเลติเยอะ แล้วมันก็ขับนำ……
โอโห มีความ My pagoda วะ จะไม่เชื่อเมิงก็เพราะ my pagoda เนี่ยแหละ
มันขับนำปุ๊ป เราก็ขับย้อนไปคนละทางกับมันซะเลยพร้อมตะโกนไปว่า โนวววววว แต้งกิ้ว
มันยังตะโกน พร้อมบีบแตรเรียกให้ไปหาอีกด้วยนะ เห้ออออออ
สรุปขับย้อนออกมาตรงมาอีกนิดเดียว ก็เจอป้ายเลี้ยวไปบูเลติค่ะ 555555
วิวที่บูเลติ กับชเวสันดอว์ก็จะแตกต่างกันนิดหน่อย ส่วนตัวเราคิดว่าที่นี่สวยกว่านะ แต่วันนี้ท้องฟ้าและก้อนเมฆไม่เป็นใจ
พระอาทิตย์ไม่โผล่มาเลยสักนิด เหนื่อยด้วยย แบตโทรศัพท์หมดอีกกลัวกลับกันไม่ถูก
เลยตัดสินใจขี่มอไซต์กลับกันก่อนฟ้าจะมืด
ก่อนจะถึงที่พัก เราแวะกันที่ร้าน La Pizza กันก่อน
อยู่ต้นซอยเลยค่ะ ไม่ไกลกับที่พักมาก เป็นร้านพิซซ่าชื่อดังติดอันดับในเว็บ TripAdvisor เลยนะ
จะกินที่นี่ หรือใส่กล่องกลับไปกินที่โรงแรมก็ได้ มีหลายแบบให้เลือก จะแบบดั้งเดิม แบบพม่า แบบยุโรปมีหมด
ราคาไม่แพงมาก มื้อนี้เราสั่งเฟรนฟรายกับน้ำอัดลมไปเพิ่ม
หมดไป 16,000 จ๊าด
เช้าวันถัดมา ก่อนที่จะเดินทางต่อไปอีกเมือง
เราก็เช่ามอไซต์ของที่พักอีกรอบ แต่คราวนี้บอกพนักงานว่า only for sunrise
เลยได้มาในราคาแค่คันละ 3,000 จ๊าด
รอบนี้กว่าจะออกจากที่พักได้ ปาประมาณเกือบหกโมงเช้า
เพราะเมื่อวานเมื่อวันสูบวิญญาณ ขางี้ล้าไปทั้งตัว เพลียมากกก
เป้าหมายในการดูพระอาทิตย์ขึ้นของเราวันนี้ อยู่ที่เจดีย์บูลิเตค่ะ เพราะว่าห่างจากที่พักแค่สามกิโล
แถมชดเชยให้เมื่อวานที่เมฆเยอะจนมองไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดิน
พอไปถึงหน้าเจดีย์เท่านั้นแหละ แผนเปลี่ยน!
เราหยุดรถ แล้วรีบปีนขึ้นเจดีย์ที่อยู่ข้างๆบูเลติ เพราะคิดว่าวิวน่าจะสวย
แต่ที่แน่ๆละ มีคนอยู่บนเจดีย์แค่สองคน
มันคือเจดีย์นี้ค่ะ (อันนี้เป็นรูปที่ถ่ายมาจากบูเลติเมื่อวาน)
เจดีย์นี้ทางปีนขึ้นแทบจะเป็นแนวตรงด้วยซ้ำ ไม่มีขอบกั้น มีก็แต่ที่นั่งแคบๆ พร้อมลมแรงๆ
แต่ความพิเศษของมันคือ เราสามารถพิงหลังนอนเอนไปกับความมนของเจดีย์ได้เลย เรายกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปสักแป๊ป
แล้วก็นั่งเฉยๆซึมซับกับพระอาทิตย์ขึ้นเช้าสุดท้ายที่พุกามของพวกเราด้วยสายตาเกือบครึ่งชั่วโมงได้
จากตรงนี้มองไม่เห็นทะเลเจดีย์เท่าไหร่ แต่จะเห็นเป็นเส้นขอบฟ้าลิบๆ
พร้อมพระอาทิตย์ดวงโตๆ แสงจ้าๆ ฟินมากกกก แนะนำเลยที่นี้ ชื่อเจดีย์อะไรม่รู้ แต่อยู่ข้างๆบูเลติ
หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จ เวลาเหลืออีกสักหน่อย เราเลยขี่มอไซต์ไปเดินตลาดเช้าของชาวบ้านที่นี่กันต่อ
ตลาดชื่อว่า Mani Sathu ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ อารมร์ก็คล้ายๆตลาดสดแบบเรานิแหละ แต่จะดิบๆกว่าหน่อย
ด้วยความที่ระหว่างทางเห็นชาวบ้านเอาดอกมะลิมาทำผม นี่ก็อยากทำบ้าง
เลยหยุดแวะซื้อพวงมาลัยร้านป้าคนนึง (พวงมาลัยที่นี่ จะเป็นดอกมะลิร้อยเป็นเส้นยาวๆ) พร้อมกับทำท่างว่าจะเอามาทำผมๆ ป้าก็นู่นเลยจ้าา เดินไปหยิบกิ๊ฟหนีบผมของเพื่อนร้านตรงโน้นมาให้ พร้อมกับนั่งทำผมกันกลางตลาด
มะลิเส้นละ 300 จ๊าด ราคาประมาณสามบาท แต่บริการหยั่งกะเส้นละสามร้อยไปเลย 55555
______________________________________________________________
ตามไปอ่านการเดินทางฉบับๆเต็มทั้งสามพาร์ทได้ตามนี้เลย
Part 1 >>> แว๊นซ์มอไซต์ฝ่าทะเลเจดีย์ ไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ‘พุกาม’
Part 2 >>> แวะ ‘พิลอูวิน’ เมืองพม่ากลิ่นอายแขก สู่การนั่งรถไฟผ่านสะพานที่สูงที่สุดของพม่า
Part 3 >>> นั่งรถม้าชมราชธานีเก่า เดินเล่นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก ลอยห่วงยางในบลูลากูนที่ ‘มัณฑะเลย์’
( รายละเอียดค่าใช้จ่าย / ทริคเล็กๆน้อยๆในแต่ละเมืองอยู่พาร์ทสุดท้ายนะจ๊ะ )