‘ปีนัง’ เมืองนี้.. ต้องยอมในชื่อเสียงความฮิป ความเป็นเมืองแห่งศิลปะของเขาจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นตามซอกตึกเอย ข้างถนน บนกำแพง เอาเป็นว่าจากข้อมูลที่อ่านมาเนี้ยคือรู้ตัวแล้วแหละ ว่าแบตกล้องก้อนเดียวไม่น่าจะพอ
ทริปนี้เราไปอยู่ปีนังมาทั้งหมดสี่วันสามคืนค่ะ นอกจากขนพร๊อพไปถ่ายรูป ประหนึ่งว่าจะไปเดินแบบแล้ว
เรายังไปตะลุยกิน หาร้านน่ารักๆเข้า ไปเดินป่าไปทะเลกันมาด้วย เที่ยวซะคุ้มทู๊กกวัน
พอหลังจากกลับมาเนี้ย ก็รู้สึกว่าเอ๊อะ ปีนังมันก็ต่างจากตอนแรกที่เราคิดเหมือนกันนะ
วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังว่า ปีนังมีอะไรให้ทำอีกบ้างนอกจากเดินตามหาสตรีทอาร์ต เพื่อใครเป็นสายธรรมชาติ
สายนั่งชิล สายกินสายคาเฟ่ จะได้เก็บ ‘ปีนัง’ เอาไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการออกเดินทางกัน
——————————————————
DAY 1
จากกรุงเทพ เรานั่งเครื่องบินมาลงหาดใหญ่ เที่ยวอยู่หาดใหญ่หนึ่งวัน
แล้วก็ค่อยนั่งรถตู้ของ KST ไปต่อปีนัง รถตู้ใช้เวลาเดินทาง 4-6 ชั่วโมง
ราคาไปกลับ 830 บาท มีรอบ 09.30,12.30,15.30 น.
เรามาถึงปีนังตอนประมาณสี่โมงเย็น ( เวลาที่นี่เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงนะ)
รถตู้ส่งถึงหน้าที่พักเลย คืนแรกเราพักกันที่ Wassup Youth Hostel
โฮสเทลราคาถูกแต่ทำเลดี อยู่ใกล้ตึกคอมตาร์เลย
คืนละ 290 บาทนอนห้องละสี่คน ห้องน้ำรวมต่อห้องค่ะ สะอาดมากกโอเคเลย
พอเก็บของเสร็จ เราก็เริ่มเดินสำรวจปีนังกัน
ที่แรกในลิสต์ก็คือ Hin Bus Depot Centre ที่นี่เป็นเหมือนอาคารร้างๆ
ที่เต็มไปด้วยผลงานศิลปะ และนิทรรศการที่หมุนเวียนกันมาจัด
นอกจากรูปวาดใหญ่ๆดังๆแล้ว ตามพวกประตูห้องน้ำ กำแพง
หลืบเล็กๆ ก็จะมีภาพวาดอื่นๆอยู่ด้วย ลองสอดส่องกันดูนะ เพื่อจะเจออันเด็ดๆ
ถ้าสายคาเฟ่มา ที่นี่ก็มีร้านกาแฟเล็กๆตั้งอยู่ข้างในด้วย
จบจากที่นี่เราก็เดินไปต่อที่ตึกคอมต้าร์ เพื่อที่จะขึ้นรถเมล์ไปปีนังฮิลล์
ถ้าอาร์ตแกลอรี่ที่เราไปเมื่อกี้เป็นเหมือนศูนย์รวมศิลปะ ตึกคอมตาร์ก็เป็นเหมือนศูนย์รวมรถเมล์
ใครจะออกนอกเมือง นั่งรถเมล์ไปไหน ให้มาเริ่มต้นที่คอมตาร์ก็ได้
(รถเมล์เกือบส่วนใหญ่จะผ่านที่นี่กันทั้งนั้น)
Penang Hill ต้องนั่งรถเมล์สาย 204 ออกนอกเมืองไปประมาณครึ่งชั่วโมง
ค่ารถ 2 RM นั่งไปสุดสายนู่นเลยยยย ถ้าเริ่มเห็นภูเขาเขียวๆอยู่ใกล้เมื่อไหร่
ก็นั่นแหละแสดงว่าใกล้จะถึงแล้ว
ก่อนจะถึงปีนังฮิลล์จะรถผ่านวัด Kek Lok Si วัดชื่อดังของปีนังด้วย
ใครพอมีเวลาก็แวะก่อน แล้วค่อยต่อรถใหม่อีกรอบ แต่เราขอผ่านไปก่อนนนจ้า
พอมาถึง เราก็ต้องไปซื้อตั๋วรถรางเพื่อขึ้นไปข้างบนปีนังฮิลล์อีกที
ปกติก็คนละ 30 RM แต่ถ้าเป็นนักเรียนอยู่ก็โชว์บัตรโลด เหลือคนละ 15 RM เท่านั้น
คุ้มมาก!
หนทางยังอีกยาวไกล ซื้อบัตรเสร็จเราก็เดินเข้าไปต่อคิวขึ้นรถรางกัน
อีเจ้ารถรางนี่มารอบละครึ่งชั่วโมง ยืนกร่อยกันไปเพราะอีกคันเพิ่งออก พอมาปุ๊ปฝันสลาย
อ่านมาอย่างดีว่าจะต้องไปยืนตรงไหนถึงจะสวย ตรงไหนจะเห็นวิวชัด
เรานี่ก็เตรียมพร้อมแย่งชิงเต็มที่ กะว่าที่นั่งตรงหัวขบวนต้องเป็นของเราแน่!!
แต่เสียใจด้วยค่ะ กว่าแถวจะรันมาถึง คืออย่าว่าแต่หาที่นั่ง แค่หาที่ว่างยัดตัวเข้าไปยังลำบากเลย
คนเยอะมากกกเต็มทุกตู้
แต่ถ้าใครทุ่มทุนก็ไปซื้อตั๋ว fast lane นะ ได้ขึ้นก่อน แต่ราคาก็เบิ้ลเป็นเท่าตัว
ระหว่างทางขึ้นคือชันมาก และอีรถรางก็วิ่งเร็วมากเหลือเกิน อารมณ์ชั่ววูบนี่คิดว่าเล่นรถไฟเหาะอยู่
แล้วตอนนั้นคือได้ยืน ข้างหลังเบียด หน้าก็ชิดกระจกไปอีกกกกก โอ้ยยเสียววูบ
แต่พอได้ขึ้นมาแล้ว โอโหหหหหหหหหห้
ตอนแรกเราก็กะมางั้นๆ เห็นว่าใครๆเขาก็มากันเนอะ แต่พอ ป๊ะกับวิวข้างบนเข้าให้
คือดีมากกกกกกกก เห็นปีนังแบบทั่วเมืองเลย อากาศเย็นนิดๆ คุ้มมากกับค่าตั๋วที่เสียไป
นอกจากการมายืนดูเมืองปีนังจากมุมสูงกันแล้ว ข้างบนนี้มีก็ยังมีอย่างอื่นให้ทำด้วย
ทั้งเดินไปวัด สวนสมุนไพร พิพิธภัณฑ์ ถ่ายรูปกับสัตว์ จุดดูวิวที่ 123 ก็ว่ากันไป
แต่ละที่ก็ใกล้บ้าง ไกล ไกลมากต่างกันไป ถ้าใครอยากดูให้ครบแต่ขี้เกียจเดิน
ข้างบนก็มีรถกอล์ฟรับจ้างอยู่นะจ๊ะ
ส่วนเราถึงจะไม่ใช่สายวัดเท่าไหร่ แต่คราวนี้ขอเลือกไปวัดจ้าาาาา
วันอินเดียที่อยู่ใกล้ๆ แบบเดินไม่ไกลไม่ต้องจ้างรถกอล์ฟ
ขึ้นไปเขากำลังทำพิธีอะไรสักอย่างกันอยู่
ร้านอาหารข้างบนก็มีนะ น้ำปั่นน้ำขวดจะอยู่แถวตรงสะพานที่มีพวงกุญแจคล้องเยอะๆแบบเกาหลี
พวกน้ำราคาก็แพงกว่าข้างล่างนิดหน่อย ส่วนอาหารนี่คือเราไปตอนเย็น ร้านก็เลยทยอยปิดกันไปหมดและ
แต่คนข้างบนปีนังฮิลล์ก็ยังเยอะอยู่นะคะ
ที่เราเลือกมาตอนเย็นเพราะอยากมาดูพระอาทิตย์ตกข้างบน แล้วก็เมืองปีนังยามค่ำคืน
แต่ว่าอยู่ทันแค่พระอาทิตย์ตกค่ะ แหะๆ แพ้ความหิวเลยรีบลงมากันก่อน
กว่าจะกลับถึงโฮสเทลได้ ก็ปาไปเกือบสองทุ่ม
แถวโฮสเทลนี่ใกล้ตึกคอมตาร์ก็จริง แต่หาร้านกินข้าวแบบทั่วไปยากมาก
มีแค่ร้านขายของชำที่อยู่ติดกับโฮสเทล
เราต้องเดินไปแถวทูนโฮเทลเลยค่ะ ถึงจะเจอร้านกินข้าวอยู่สามสี่ร้าน
ใครไปคนเดียวก็ไม่แนะนำนะ ทางมันติดถนนก็จริงแต่มืดมากเพราะร้านข้างทางนี่ปิดหมด
และนี่คือเมนูแรกที่ปีนัง ผ่างงงงงง Nasi Kandar คล้ายๆข้าวแกงนี่แหละ
วิธีสั่งก็คือ เอาไรก็ชี้ๆบอกเขาเลย ด้วยความโลภชี้ไปสามอย่าง ปลาหมึก เนื้อ ไก่
โป๊ะ จานแรกโดนไป 15RM แอบสะดุ้งกับราคา แต่ก็คุ้มนะอิ่มมากก
DAY2
—————-
ตื่นแต่เช้า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
เริ่มต้นวันด้วยติ่มซำกันค่ะ ร้าน Tai Tong Restoran
ร้านติ่มซำที่จะมีเหล่าคุณป้า เข็นรถเข็นมาให้เราเลือกจิ้มๆสั่งอาหารกันถึงที่โต๊ะ
มีทั้งรถของทอด รถซาลาปา รถโจ๊ก เข็นวนไปมา
อีนี่ก็ด้วยความตะกละ รถไหนเข็นมาเรียกสั่งหมด
จนป้าต้องเดินเข้ามาพูดด้วยว่า กินก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยสั่งเพิ่มเดี๋ยวรถก็วนมาอีก 555555
ส่วนเรื่องรสชาตินั้น อร่อยยยมากกกกก ชอบมาก
ถ้าไม่ติดว่าต้องการความหลากหลายนะ จะมากินทุกวันเลยย
ค่าเสียหายรวมแล้ว 42 RM
อิ่มมากกกกกจุกมาก แต่กระเพาะของคาวและของหวานมันแยกจากกัน
เดินมาต่อด้วย Apom Manis จริงๆคือมีหลายไส้นะ แต่ร้านที่เราซื้อมีแค่สองไส้
คือธรรมดา 2 RM แบบใส่ไข่ 2.8 RM ต่อ 5 ชิ้น
อร่อยๆๆๆๆ กินเพลินลืมไปเลยว่าเคยอิ่ม
อ๊ะ ดูด้วย ขนมกับแหวนพ่อค้าอะไรเด่นกว่ากัน
หลังจากนั้นเราก็กลับไปเช็คเอ้าท์ออกจากที่เก่า แล้วก็เดินแบกกระเป๋าไปที่พักใหม่กัน
ห่างกันประมาณกิโลกว่าๆ จริงนั่งรถเมล์ไปก็ได้นะมันอยู่แถว Love Lane แต่วันนี้ขอเดินก่อนด้วยความที่ยังไม่ชินกับรถเมล์
หนึ่งกิโลดูระยะทางใกล้ๆ แต่กว่าเราจะเดินถึงเกือบครึ่งชั่วโมง
เพราะแวะถ่ายรูปหยุดถ่ายรูปมันตลอดข้างทาง ตรงนั้นทีตรงนี้ที
กว่าจะถึงที่พัก คือทำตัวซะเหมือนไม่ได้แบกของหนักๆไว้ที่หลังเลย
อีกสองคืนที่เหลือในปีนัง เราจะไปพักที่
House of Journey โฮสเทลอีกแล้วค่าา
คืนละ 290 บาท ทำเลดีกว่าที่เก่านะ ตรงนี้ใกล้ Love Lane แล้วก็ย่านสตรีทอาร์ต
บวกกับท่าเรือ Jetty ทั้งหลายก็อยู่บริเวณนี้ค่ะ อ่อ อีกอย่างเลี้ยวออกซอยปุ๊ป เจอรถเข็นขายอาหารข้างทางตรึม!
หลังจากเมื่อวานเราไปสำรวจปีนังมุมสูงกันมาแล้ว
วันนี้เราจะมาเดินสำรวจปีนังในแบบภาคพื้นกันบ้างนะคะคุณกิตติ!
ถึงเวลาออกตามล่าหาสตรีทอาร์ตกันนน
แต่ข้อมูลที่เราหามาส่วนใหญ่นี่เป็นเรื่องอาหารทั้งสิ้น ไอ้พวกเกี่ยวกับว่าสตรีทอาร์ตแต่ละอันอยู่ตรงไหน
อะไรยังไงนี่โหวงเหวงมาก แต่ก็พอมีภาพอยู่ในใจนะว่าอยากจะมาดู มาถ่ายรูปกับภาพไหน
เราเลยเดินไปเส้น Beach Street เพื่อจะไปตามเก็บโบร์ชัวร์
จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวกันก่อน ระหว่างทางก็เจอผลงานศิลปะอยู่ข้างทางแบบบังเอิญเรื่อยๆ
เส้นนี้มีอยู่ประมาณสามจุดค่ะที่มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่แรกปิด ที่ที่สองมีแต่โบร์ชัวร์วางไม่มีคน
ส่วนที่ที่สามอันนี้เวิร์คสุด มีทั้งโบร์ชัวร์ คนแนะนำ ของที่ระลึกขาย ( เดินไล่มาจากวงเวียนแถวป้อมปราการด้านบนเลย)
Penang Global Tourism,Lebuh Pantai
ใครไม่มีแพลนจริงๆแนะนำไปที่นี่ก่อนเลย พนักงานแนะนำดีมากก
เขาจะบอกเลยว่า ใกล้ๆวันที่เราอยู่จะมีงานเทศกาลอะไรบ้าง จัดที่ไหน ไปยังไง
หรือไม่ก็แนะนำโปรแกรมเที่ยวใหม่ๆ
อย่างอันที่เราไปเจอนี่เป็นโบรชัวร์โฮมสเตย์ที่ปีนังค่ะ คือพาเราออกไปนอกเมืองตามหมู่บ้านต่างๆชมวิถีชีวิตชาวบ้านจริงๆ มีทั้งแบบไปครึ่งวัน เต็มวัน นอนค้าง ราคาไม่แรงด้วย
หลังจากได้แผนที่ล่าสตรีทอาร์ตมาเรียบร้อย
ก็เริ่มออกลุยค่ะ คือส่วนใหญ่ภาพดังๆมันก็จะกระจุกรวมกันอยู่แถวเส้น Lebuh Amernian เนี่ยแหละ
อาจจะมีบางภาพที่กระจายออกไปบ้าง หรือบางภาพที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ไฮไลท์ของเค้าบ้าง แต่คือสวยไม่แพ้กัน
เราว่าต้องลองเดิน แล้วค่อยๆไล่ดู ตามซอก ตามตึกเอา รับรองเก็บได้อีกหลายภาพแน่นอน
หูตาต้องไวนะทุกคน ณ จุดนี้
แต่ถ้าใครไม่ชอบเดินก็มีจักรยานให้เช่านะ มีทั้งแบบเดี่ยว แบบขี่สองคน นั่งสามล้อ
สกู๊ตเตอร์ ก็มีให้เลือกได้เลย แต่เราคิดว่าเดินนี่สบายตัวสุดด
เพราะนอกจากรูปวาดแล้ว พวกตึก ร้านค้าก็น่าถ่ายรูปค่ะ
แบบรอยร้าว รอยตะไคร่ขึ้นที่ตึกคือบางทีมันก็ขึ้นซะสวยจนต้องหยุดถ่ายอะ 55555
ถ้าขี่จักรยานนี่แบบ อาจจะต้อง จอด ลง ถ่ายไรงี้ สู้เดินเมื่อยหน่อยแต่เดินๆถ่ายๆโอเคกว่า
แถวเส้นนี้จะเป็นเหมือนถนนนักท่องเที่ยวเลย นอกจากสตรีทอาร์ตแล้ว
ระหว่างทางก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึก โปสการ์ด ร้านแฮนด์เมดน่ารักๆ
ของกิน น้ำแข็งใสก็อยู่แถวนี้เพียบ
ของพวกที่ติดตู้เย็นก็ราคา 2-3 RM ส่วนราคาโปสการ์ดรวมแสตมป์อยู่ที่ 2.5 RM
เราแนะนำร้าน Summer Lane Venture โปสการ์ดสวยมาก มีทั้งแบบเป็นภาพวาด ภาพถ่าย
ของกระจุกกระจิกให้เลือกซื้อเยอะมาก
เขยิบออกมาจากถนนเส้นเดิมอีกนิด มุ่งหน้าไปทางท่าเรือ
บนถนนเส้น Lebuh Chulia ก็มีร้านน่ารักๆตั้งอยู่ข้างถนน ร้านนี้ชื่อว่าร้าน
The Postcard Shop แน่นอนชื่อร้านซะขนาดนี้ ขายโปสการ์ดสิคะ
ความพิเศษของที่นี่คือ มีตัวปั๊มไว้ให้เราตกแต่งโปสการ์ดระหว่างเขียนด้วย แค่นี้แหละ5555
อีกอย่างจะมีโปสการ์ดแบบที่วาดเอง สีน้ำบ้างสีไม้บ้างค่อนข้างเยอะค่ะ บางอันราคาถูกกว่าร้านอื่นเกือบ 3-4 RM เลยซอยข้างๆร้าน ก็มีงานศิลปะที่อยู่ในลิสต์ไฮไลท์ด้วย อย่าลืมแว๊บเข้าไป
ก่อนจะเดินเที่ยวต่อ แวะพักกินกันก่อน
อันนี้เป็นคล้ายศูนย์อาหารข้างทาง อยู่ตรงแถวๆศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลย
ถูก อร่อย หลากหลาย และเมนูวันนี้คือ Wan ton mee กับ Chicken feet พูดง่ายๆก็คือบะหมี่แห้ง
กับตีนไก่ตุ๋นนั่นเอง จานละ 5 RM
ยัง ยังไม่พอ ก่อนรอเวลานั่งไปชิลดูพระอาทิตย์ตกที่ท่าเรือ
เราจะจิบกาแฟ กินเค้กสวยๆ ที่คาเฟ่กันก่อน และร้านที่ถูกเลือกคือ แท่นแท๊นนน China House
ร้านกาแฟที่หน้าร้านดูธรรมดา แต่พอเข้าไปยี่แบบ โอ้วอู้หูวเลย ชั้นบนเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะ ขายของแฮนด์เมด
ส่วนชั้นล่างขายกาแฟ เค้ก อาหาร ไวน์
ความน่ารักของร้านคือมีหลายโซนค่ะ มีทั้งโซนนั่งจิบไวน์ โซนอ่านหนังสือ โซนกึ่งกลางแจ้ง
และโซนวาดรูป คือแต่ละโต๊ะก็จะมีกระดาษและสีเทียนวางไว้ให้ลูกค้าวาดเล่น
ถ้าผลงานเป็นที่ถูกตาต้องใจ ก็จะได้เอาไปแปะหน้าห้องค่ะ
ราคาก็ปกติทั่วไปเหมือนร้านกาแฟแถวสยามบ้านเรานี่แหละ เค้กอร่อยยยยมากกก (อร่อยอีกแล้ว)
หลังจากนั่งแช่อยู่ที่ร้านกาแฟเกือบชั่วโมง ก็ถึงเวลาโยกย้ายไปท่าเรือกันแล้วค่ะ
แถบนี้มีท่าเรืออยู่ทั้งหมด 7 ท่าเรือ ถ้าไม่ขี้เกียจก็ลองเดินแวะดูได้
จากแผนที่ก็เดินตรงลงมาเรื่อยๆเลย มันเรียงกันอยู่
แต่ท่าเรือที่ป๊อปในหมู่นักท่องเที่ยวคือ Chew Jetty ค่ะ
มีของกิน ของขาย เช่นราเมนถ้วยยักษ์เบิ้มๆงี้ แล้วก็จะมีพวกผลงานศิลปะอยู่ตามผนังบ้านด้วย
มีอันนึงเราลิสต์ไว้เลยว่าอยากมาดู แต่พอไปถึงจริงๆก็โดนทาสีทับไปแล้วค่ะ น่าจะเป็นเพราะภาพมันจางหายไปตามเวลาด้วย
Chew Jetty คนค่อนข้างเยอะ แต่ส่วนตัวเราคิดว่ามันไม่มีอะไรมากนะ
เพราะฉะนั้นจะพาทุกคน เขยิบมาอีกท่าเรือนึงแทน อันนี้เราเสริชมาเขาบอกว่าเหมาะแก่การมานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตกมากๆ
ห่างจากที่เก่าประมาณสองร้อยเมตร เดินเลาะถนนมาถึงเลย
Tan Jetty ท่านี้จะเป็นสะพานไม้ทอดยาวไปกลางทะเลเลย ไม่ได้อยู่ท่ามกลางบ้านคนแบบท่าแรก
จะมีก็แต่ศาลหลังนึงอยู่ที่ตรงปลายๆสะพาน กับห้องน้ำเล็กๆ สงบมากค่ะ นานๆจะมีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาคนสองคน
แต่เสียดายตรงที่ นั่งไปสักพักกำลังจะรอดูแสงพระอาทิตย์ตก แต่เมฆดำนี่ครึ้มลอยมาแทนแต่ไกล
พระอาทิตย์ที่นี่ตกประมานทุ่มครึ่ง ขึ้นประมาณเจ็ดโมงเช้า
เอาล่ะ กลับมาที่โฮสเทลกันอีกรอบ
ที่นี่เป็นห้องนอนรวมแบบ 6 เตียง ห้องน้ำรวม แต่ห้องนอนแบบส่วนตัวก็มีนะ
แต่จะอยู่อีกตึกข้างๆ สำหรับคนขี้ร้อนนี่ไม่แนะนำ เพราะลักษณะห้องรวมจะเป็นแบบห้องใหญ่ๆ
แล้วกั้นเป็นห้องเล็กๆอีกทีด้วยไม้
คือเปิดแอร์ข้างนอกตัวเดียว แล้วให้ความเย็นมันผ่านเอาตามรู แต่ในห้องก็มีพัดลมนะ
สำหรับเราไม่ร้อนไม่หนาว แต่ชอบตรงที่ห้องมีหน้าต่างอ่ะ รู้สึกโปร่ง
ห้องน้ำสะอาด ฟรีอาหารเช้า และอาหารตาแจ่มมากค่ะ
อย่างที่บอกไป เลี้ยวออกซอยที่พักปุ๊ป เจอโซนอาหารเลย
แถวนี้ครึกครื้นมาก ไม่ต้องเดินไกล กินได้ยันเที่ยงคืนนู่น
ว่าแล้วคืนนี้เลยจัด Lok Lok ไปกันเกือบคนละยี่สิบไม้
การกินไอ้เจ้านี่ต้องมีสติจริงๆค่ะทุกคนนนน! วิธีการกินมันแค่ เลือก ต้ม จิ้ม กิน โครตง่าย
เพราะง่ายแบบนี้นี่เอง แป๊ปๆล่อไปเกือบสิบ เพลินเว่ออออร์
รู้ตัวอีกทีไม้เปล่าล้นจาน ราคาแต่ละไม้ก็ดูที่สีปลายไม้ได้เลย เค้ามีเขียนบอกไว้
อันนี้ห้ามพลาดด! อร่อยยยยยยยยมากฟีลแบบเหมือนสาวเกาหลียืนกินต๊อกป๊อกกีอยู่ทงแดมุนอ่ะ
แต่ตัดภาพมาที หยิบไส้อ่อน ไข่เยี่ยวม้าขึ้นมาลวกงี้ 555555555
DAY3
—————-
หลังจากสองวันแรก เราเดินตามหาสตรีทอาร์ตกันแบบชิลๆไปแล้ว
วันนี้เราเปลี่ยนมาสายธรรมชาติ ออกมาเดินป่าไปทะเลนอกเมืองกันบ้าง
Penang National Park ต้องนั่งรถเมล์สาย 101 ออกไปประมาณหนึ่งชั่วโมงสุดสายเหมือนเดิม
สายนี้ผ่านทั้งทาง Love Lane , Komtar ใครสะดวกตรงไหนก็ดักขึ้นได้เลย ค่ารถคนละ 4 RM
พอถึงเราก็มาลงชื่อเข้าอุทยาน(ฟรี) และศึกษาเส้นทางการเดินกันก่อน
มีสองเส้นทางให้เลือกคือ Turtle Beach และ Monkey Beach
ทางแรกไปกลับ 6 กิโล จะเจอ Meromitik Lake ทะเลสาปที่มีน้ำทะเลไหลเข้ามารวมกัน
เขาบอก water on water อ่ะ น่าจะประมาณนั้น แล้วก็เป็นเหมือนศูนย์เพาะพันธุ์เต่า มีเต่าตัวเล็กๆให้ดู
ทะเลก็มีนะ แต่ลงว่ายน้ำไม่ได้
ส่วนทางที่สอง สุดทางเลยเป็นประภาคาร ไปกลับ 9 โล
แต่ถ้าไปแค่ Monkey Beach ก็ 7 กิโลค่ะ อันนี้ใครชอบทะเลแนะนำเลย
จากที่อ่านมาเขาบอกว่าทะเลสงบและสวยกว่า Batu Ferringi เยอะมากก
ระหว่างทางมี Canopy Walkway ด้วย แต่ปิดซ่อมอยู่นะตอนนี้
มีมาอีกตัวเลือกสำหรับใครไม่ชอบเดิน มีเรือรับจ้างคอยไปรับอยู่ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น
เรทราคาที่เราถามมาคือ เดินไปเส้นทางแรก แล้วให้เรือมารับกลับ และพาแวะเส้นทางที่สองคนละ 160 RM
แต่ถ้าไปแค่รับกลับ คนละ 80 RM
จากใบลงทะเบียนของอุทยาน คนเลือกเดินเส้น Monkey Beach เยอะกว่าค่ะ
แต่นี่ไม่!!!!! เพราะจิตใจแน่วแน่มาตั้งแต่บ้านแล้วค่ะ ว่าจะไปดูทะเลสาป ยังไงก็จะเอาทะเลสาป
เห็นเราพิมพ์บอกข้อมูลชัดเจนแบบนั้น นั่นคือการกลับมาอ่านป้ายย้อนหลังนะ
แต่ก่อนเดินนี่ดั๊นไปอ่านมาจากในเน็ต ว่าอีเส้นทาง turtle beach หน่ะ มันไปกลับแค่สี่กิโล
อยากเห็นทะเลสาปเป็นข้ออ้าง เอาจริงๆคือเลือกทางที่ใกล้สุด ไปถึงลงชื่อ ซื้อน้ำขวดนึงเริ่มเดินเลย
กะว่าชิวๆๆๆๆ มาเสพย์ธรรมชาติ อ่ะมาดูความวายป่วงของชีวิตกัน 555555555555555
เริ่มแรกชิวๆใสๆ ตามสไตล์คนยังไม่รู้ชะตากรรมชีวิต
ชมนกชมไม้ ชมทะเลข้างทางไปเรื่อย แล้วก็มาถึงทางที่ต้องแยกแล้วค่ะท่านผู้ชม
เกาะเต่าทางซ้าย เกาะลิงทางขวา
เอ๋ ทางเดินมันแปลกๆเนอะ ต่างกันลิบลับอะไรเบอร์นั้น
แต่หาได้สนใจไม่ ตื่นเต้นด้วยซ้ำ รู้สึกได้กลิ่นความแอดแวนเจอร์เบาๆ
มาปีนังจะให้เดินชิลๆอยู่แต่ในเมืองไงงงง๊ ต้องออกมาลุยกันบ้างโว๊ยยยยยย
ดูความปากดีของคนเรา
ผ่านไปกิโลแรก
……….โครตเหนื่อยพูดเลยยยยยย
แบบว่าทางขึ้น ขึ้นตลอด จะขึ้นไปไหนหนักหนา พูด!!!!!!!!
ถามหาทางเดินปูน โฮฮฮฮ ดินล้วนๆ มีปูนบ้างแบบนับก้าวได้
แต่ช่วงหลังเป็นทางลงแล้วนะ แต่เดินไปก็ไม่ได้สบายใจเล๊ยยยยยย
เพราะเดี๋ยวต้องกลับทางเดิม แค่คิดคือแบบท้อเลย 555555555
มีศาลาพักเป็นจุดๆ บางช่วงก็ข้ามสะพานปูนลมโกรกเย็นสบาย
บางช่วงเหงื่อไหลเอาสะเครื่องสำอางค์ที่โบกมา หายวั๊บ
ในที่สุดเวลาเราก็ลากสังขารมาได้ถึงจุดหมายปลายทางจนได้ ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงครึ่ง
ผลตอบแทนเครื่องสำอางค์ที่หายไป และเหงื่อที่ไหลย้อย
…..
ผ่างง ทะเลสาปแห้งขอด
แห้งแบบหญ้าขึ้น…
แต่ไม่เป็นไร เอาน่า เรายังมีทะเลข้างๆเยียวยา สวยมากกกกกกกกก
อันนี้คือสวยแบบจริงจังนะ สงบลมเย็น ตอนเราไปถึงบนหาดมีไม่ถึงสิบคน
จากสะพานมองลงไป เห็นปลาตีนเดินดึ๋งๆเป็นคู่อยู่ด้วย ตลกมาก 5555555 (เดี๋ยว ตลกอะไร)
เดินต่ออีกนิดไปนั่งพักเหนื่อยกัน
แถวนี้มีป้ายว่าเป็นทางเดินเต่าด้วยค่ะ ทะเลที่นี่สวยก็จริง
แต่ห้ามลงเล่นเด็ดขาด เพราะว่าแมงกระพรุนเยอะมากกกก มีป้ายสถิติการตายต่อปีตั้งโชว์ไว้อย่างโดดเด่น
นั่งพักไปเรื่อยย ก็มีทั้งคนทยอยเดินมา ทยอยเดินกลับอยู่เนืองๆ
แต่ส่วนมากเกินกว่าครึ่ง คือเขามาถึงแล้วก็โทรเรียกเรือให้มารับกลับกันค่ะ
ไอ้เราจิตใจตอนนั้นอยากกลับเรือเหมือนกันนะ รู้สึกค่าเรือถูกขึ้นมาทันที แต่ไม่ได้จองล่วงหน้าไว้
ก็ไม่กล้าเข้าไปถาม ได้แต่นั่งมองเรือสวรรค์แล่นออกไปต่อหน้าต่อตา
มาสำรวจๆรอบเกาะกันบ้าง ที่นี่ไม่มีร้านขายของใดๆตั้งอยู่
นั่นแปลว่า น้ำขวดเดียวที่พกมาได้หมดลง และจะไม่มีขวดใหม่ใดๆแล้ว…
มาต่อกันที่ความชิวของฝรั่ง ไม่มีท่าทางความเหนื่อยให้เห็น
เราคิดว่าเดินไปอีกสักหน่อยน่าจะเจอศูนย์เพาะพันธุ์เต่าหรือเปล่าไม่แน่ใจ
อันนี้เสียดายมาก คิดว่าสุดทางเดินแล้ว แต่ด้วยความเหนื่อยครอบงำด้วยแหละเลยไม่ได้เดินไปดูต่อ
ใครไป ฝากด้วยนะะ ฮืออ
นั่งๆนอนๆกันเกือบชั่วโมง ก็ตัดสินใจเดินกลับกันค่ะ
สภาพขามาเป็นอย่างไร ขากลับก็เหนื่อยประมาณนั้น (หนักกว่า เพราะไม่มีน้ำ)
ใครเดินโปรดเตรียมมาให้พอ เกลือแร่ขวดละ 2.5 RM ซื้อมาตุนเลยๆ
แต่ทางที่ดี นั่งเรือกลับดีที่สุดจ้าาาาาาาาา
ออกจากป่ามาปุ๊ป เรานี่วิ่งไปหาลุงคนให้จองตั๋วเรือกลับเลย
ซื้อน้ำคนละสองขวด พร้อมถามราคาค่าเรือย้ำอีกที (อันนี้คิดตอนเดินกลับจากป่าตลอดเลยนะว่าต้องถาม
คือมันเหนื่อยมาก รู้สึกว่าถ้าแบบใครอ่านรีวิว อยากจะย้ำเลยว่านั่งเรือกลับเหอะๆๆๆชั้นถามราคามาให้แล้ว
#เพิ่มเติมสำหรับการเดินป่า
ลองดูกระทู้นี้ค่ะ ละเอียดมากทั้งในเรื่องเดินป่า และเที่ยวในเมือง
http://pantip.com/topic/35456609 สรุปขากลับพี่เขาได้ขึ้นเรือในรา 20RM โอโหหหหหเห็นราคาแล้วอยากจะจองตั๋วไปตบหน้าอีลุงที่บอกว่า 80RM มากกกกกก อะไรจะฟันราคาขนาดนั้น
อ่ะ ถึงเวลากลับมานั่งรอรถเมล์ป้ายเดิม ฝรั่งทั้งป้ายเลยค่ะ โว้ววววววววว กำลังใจจจจจเน๊าะ 55555
กลับมาล้างหน้าล้างตาที่โฮสเทล หลังจากนั้นลุยกินข้าวเลยค่ะ
ตัดมาเข้าสู่โหมดแนะนำร้านอาหารอีกรอบ ร้านแรกออกซอยมาเลี้ยวซ้ายเล็กน้อย
ก็จะเจ๊อะ กับร้านอาหารอินเดียป้ายสีแดง KAPITAN
ชื่อเสียงเลื่องลือในอินเทอร์เน็ตอีกแล้วค่ะ ร้านนี้
สั่งง่าย ได้ไว อร่อยอีกเช่นเคยยยย เมนูที่เราสั่งคือ Garlic Cheese Nan Set 11.5 RM
นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารอินเดียอย่างอื่นให้สั่งด้วย
ต่อกันด้วยของหวาน นี่นั่งรถถ่อกันมาแถวตึกคอมตาร์อีกรอบ
เปลี่ยนบรรยากาศมาเดินกันตอนกลางคืนที่ย่าน Nagore Squre กัน
อารมณ์ประมาณย่อส่วนเอกมัย สุขุมวิทมาไว้ที่นี่ค่ะ ร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์น่ารักๆ
มากระจุกกันอยู่ที่ถนนเส้นนี้แหละ
แต่พระเอกของเราวันนี้คือร้าน Pik Nik
เข้ามาก็เจอกับบรรยากาศสีสันสดใส ตกแต่งน่ารักทุกมุมจริงๆ
ร้านนี้เปิดตั้งแต่สามโมงเย็น ถึงเที่ยงคืน
เราสั่งนาโช่ กับวาฟเฟิลไปอย่างละจาน น้ำคนละแก้ว
ราคารวมกัน 32 RM ( ถูกนะ อร่อยด้วย )
แถวนี้ก็ยังมีสตรีทอาร์ตทั้งรูปเล็ก รูปใหญ่อยู่ด้วยค่ะ
พอได้เดินดูตอนกลางคืน ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
ยัง ยัง ยังไม่จบ คืนนี้คืนสุดท้ายที่ปีนัง ใครจะกลับที่พักง่ายๆกันคะ
ต่อกันอีกร้านที่ Love Lane ถนนเส้นนี้เรียกว่าเป็นข้าวสารเวอร์ชั่นถนนสั้นก็ได้
ร้านเหล้า เบียร์แถวนี้ครึกครื้นเลย
เบียร์ที่นี้ตกขวดละ 12-15 RM พวกชิชาก็อยู่เตาละ 25 RM
ค่ำคืนนี้จบลงด้วยการออกจากร้านแถวเลิฟเลน แล้วก็ข้ามถนนไปกิน Lok Lok อีกยี่สิบไม้
ค่อยกลับโฮสเทลค่ะ กะว่าแวะกินเล่นๆเฉยๆนะเนี้ยย โดนไปอีกยี่สิบไม้ 5555555
DAY4
—————-
วันสุดท้ายที่ปีนัง เรานัดรถตู้มารับตอนสี่โมงเย็น
วันนี้เลยเลือกตื่นสาย เช็คเอ้าท์ฝากกระเป๋าไว้ที่พัก แล้วไปเดินเก็บสตรีทอาร์ตอีกรอบ
เมื่อคืนแรงยังเหลือ เราเลยนั่งหาข้อมูลสตรีทอาร์ตบางรูปที่ไม่ได้มีบอกไว้ในโบรชัวร์ หรือบางรูป
ที่มันโดดออกมาจากเพื่อนฝูง ให้ครบก่อนกลับ
เริ่มต้นวันด้วยการออกมากินน้ำอะไรสักอย่าง หน้าที่พักค่ะ
คือเหมือนเป็นธรรมเนียม ออกมาเจอลุงปั๊ปต้องเดินเข้าไปสั่ง บางวันกินแบบเย็น
บางวันแบบร้อน แล้วแต่ว่าลุงมีน้ำแข็งมั้ย 55555555
ใส่ขวดเดินกินก็ได้ หรือไม่ก็ให้ลุงเทใส่แก้วแล้วยืนกินหน้าร้านลุงก็ได้
อร่อยมาก กินแล้วสดชื่นน ต้องลองๆ
เข้าสู่โหมดอร่อยเลิศกับคุณหลีดอีกรอบ ก่อนจะไปดูรูปสตรีทอาร์ต
ขอเก็บตกของกินวันที่ผ่านๆมา และที่กินแต่ยังไม่ได้ลงกันสักเล็กน้อย
(1) Yeap Noodles :: ปีนังเราจะเห็นพวกอาหารเส้นๆเยอะเลยค่ะ แต่ร้านนี้ที่พิเศษกว่าร้านอื่นคือ เส้น ทำ เอง
มีให้เลือกทั้งเส้นสาหร่าย เส้นมิ้น ทำสดๆใหม่โชว์กันในร้านเลย ขอบอกว่าเกี๊ยวน้ำอร่อยมากกกก
(2) Char Kuey Teow กับ Loh Mee :: จานแรกหน้าตาเหมือนผัดไท แต่รสชาติประมาณผัดซีอิ๊วกุ้งตัวเบิ้มมากก ส่วนจานที่สองอันนี้เพื่อนกินมันบอกว่าอร่อยอยู่นะ แป๊ปเดียวหมด
(3) Hainan Chicken :: อารมณ์ข้าวมันไก่บ้านเราแต่น้ำจิ้มไม่เหมือน ร็สึกว่าอร่อยกว่านะเพราะมันเป็นไก่ย่าง กินกับไมโลหรือกาแฟเย็นสักแก้ว อร่อยยยยย ตามข้างทางเห็นมีอยู่หลายร้านเลย เลือกลองกันได้
อ่ะ มาต่อกันที่สตรีทอาร์ตเวอร์ชั่นเก็บตก พร้อมแทรกไปด้วยบรรยากาศวิวรอบๆ
คำแนะนำในการเดินเมืองปีนังคือ ทำลิสต์ก่อนว่าสตรีทอาร์ตที่เราอยากดู หรือที่ที่เราจะไปมีที่ไหนบ้างแล้วจัดลำดับซะ เพราะเรานี่สะเปะสะปะมากคือเดินอ้อมวนไปหมด เสียเวลามากก
บางที่อยู่ใกล้กัน แค่เลี้ยวไปก็ถึงแล้วอ่ะ แต่เรานี่เดินสะเปะสะปะอ้อมไปหมด
คนที่ขายของแถวนั้นถึงกับทักว่า ‘Oh you comback’
แปลเป็นไทยน่าจะประมาณ อ้าว กลับมาอีกแล้วหรอเมิง…
รูปนี้อยู่แถว Jalan Perangin บริเวณแถบๆย่านตึกคอมตาร์
Indian boat man , Lebuh Klang
ส่วนรูปนี้อยู่ที่ Lamut Lane อาจจะต้องเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยนิดนึง
Bearded face ตั้งอยู่ตรงทางเดินหน้าโรงแรม Ryokanmuntri ค่ะ
อยู่ตรงวัดที่ถนน Jalan Muntri แถว Camera Museum
——————————————-
นอกจากสตรีทอาร์ตปีนังแล้ว เราว่าพวกลายกระเบื้องตามทางเดิน
ประตูบ้านสวยๆที่ปีนัง ก็น่าตามเก็บถ่ายรูปค่ะ อันนี้เดินๆถ่ายๆมาได้บางส่วน
สรุปแล้วสำหรับปีนัง เมืองใกล้ๆบ้านเรา ที่ไปได้ง่ายๆหลายวิธีจะทางอากาศ ทางน้ำ ทางบกได้หมด
นอกจากจะเป็นแหล่งของคนชอบศิลปะ ชอบถ่ายรูปแล้ว ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของคนชอบกินอีกด้วย
อาหารที่เราลองกินนี่ยังไม่ได้ครึ่งของลิสต์ที่เขาแนะนำกันมาเลยนะ
ไหนจะร้านกาแฟ ร้านข้างทางน่ารักๆที่ยังไม่ได้ไป
เส้นทางเดินป่าอีกอันที่ยังไม่ได้เดิน โอ้ยยไปสี่วันนี่ไม่พอ
เอาเป็นว่ามาเมืองนี้เขาครบรสจริงๆ
อ่านกระทู้จบแล้วอย่าลืมหย่อน ‘ปีนัง’ ไว้ในลิสต์ที่ที่อยากไปกันนะ : )
ทริคเล็กๆน้อยๆ (แต่หลายข้อหน่อย แหะๆ)
• เวลาเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ค่าเงิน 1 RM = 8.6 บาท
• ที่นี้ใช้ปลั๊กแบบสามขาเหลี่ยมๆ ไม่ต้องกังวลไปที่เซเว่นมีขายราคาไม่แพง แต่บางที่พักก็เป็นปลั๊กแบบไทยนะ
• ซิมโทรศัพท์เราใช้ของ Digi โปรเน็ต 15 RM 4GB 3Days แต่จริงๆมันมีโปรเน็ตอีกเยอะ กด *128# แล้วไล่ดูโปรสมัครเอาเองได้เลย
• เติมเงินก็ตามร้านขายของชำทั่วไปเลย ง่ายมากกกก เน็ตไม่ได้แรงมากพอเล่นได้ แต่เจอมุมอับที่ไร แบบห้องน้ำโรงแรมงี้ จบเห่
• ขึ้นรถเมล์ประตูหน้า เขาไม่ทอนเงินนะ เตรียมให้พอดี
• Wassup youth hostel มีโซนห้องครัวไว้ทำอาหารด้วย แต่เราว่าทำเลสู้ House of Journey ไม่ได้นะ
• นอกจากตึก Komtar แล้ว ก็มี Weld Quay ที่เป็นเหมือนท่ารถเมล์มีผ่านหลายสายเลย อยู่แถวท่าเรือ
• น้ำอัดลม ถูกมากตู้กดแถวคอมตาร์กระป๋องละ 1RM ขวดใหญ่ 2.5RM งี้ แล้วแต่ร้านด้วยนะ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอราคาประมาณนี้
• ร้านขายของ มันจะมีทั้งร้านชำ เซเว่น แฮปปี้มาร์ท ของต่างกัน ราคาบางอย่างต่างกันมีอะไรแปลกๆให้ลองเยอะ
• ขนมปังตามร้านของชำ บ้าไปแล้วว อันละ 0.8RM ถูกโครตแล้วคืออร่อยเว้ย มีหลายรส หลายแบบมากก ลอง!!
• เดินป่า เราแนะนำเดินเส้น Monkey Beach เหอะ คนจีนที่นอนห้องเดียวกันเขาบอกเจอลิงด้วย ทางเดินก็ดีด้วย
• แต่ถ้าไปเส้น Turtle Beach ระหว่างทางมันไม่ได้สวยขนาดนั้นอ่ะ แต่ปลายทางสวยจริง อาจจะให้เรือมารับขากลับ ประหยัดแรง
• แต่จริงๆแล้วอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้เตรียมร่างกายไปด้วย ใครฟิตๆก็ลองดูเด้อ ฝรั่งหลายคนก็เดินไหวนะ
• เส้น Turtle Beach ไปคนเดียวไม่แนะนำเลยย นานๆทีมีคนเดินผ่าน มีจุดนึงเส้นทางไม่ชัดระวังหลง
• พระอาทิตย์ตกปีนังฮิลล์ พระอาทิตย์ขึ้นต้อง Tan Jetty
• ที่นี่คือสวรรค์สายกินชัดๆ ถูกและอร่อย เราหาข้อมูลของกินไปโครตเยอะะะะะะ
• พิพิธภัณฑ์ วัดต่างๆน่าสนใจเยอะมากกกก ลองหาดูกันนะ
• รถบัสแบบที่นั่งด้านบนแล้วไม่มีหลังคาแบบรถบัสนั่งชมเมืองก็น่าลองค่ะ มีหลายแพ็คเกจตั้งแต่ 20-79RM
คืออารมณ์รถเมล์นี่แหละ แต่เราจะนั่งสวยๆอยู่ข้างบน มีจอดแวะรับทุกป้าย เขาเรียก Penang Hop on Hop off
(อันนี้ถ้าสนใจเรามีโบร์ชัวร์อยู่หลังไมค์มาไดดด้)
ขอพูดถึงหาดใหญ่นิดนึง เพราะเรานั่งเครื่องไปหาดใหญ่
• จากสนามบิน เดินตรงมาถนนใหญ่ รถสองแถวสีฟ้าเข้าเมืองสามสิบบาท
• ขากลับบอกคนขับรถตู้ ส่งสนามบินเลยราคาไม่ควรเกินคนละ 150 บาท
• สวนสาธารณะหาดใหญ่ ที่ที่มองเห็นหาดใหญ่ทั้งเมืองสวยมาก (อันนี้ลองหาวิธีไปเองนะ พอดีเราได้เพื่อนพาเที่ยว)
• Get Guesthouse ที่พักใกล้ตลาดกิมหยงห้องละ 450 บาท นอนสองคนตกคนละ 225 บาทเอง
• รถตู้ไปปีนัง แจ้งได้หมดเลยจะให้รับที่ไหน ส่งที่ไหนมีเว็บด้วยนะ ksttravelthailand.com
• ความไวของรถตู้ ขึ้นอยู่กับด่านค่ะ ถ้าไปด่านสะเดาใกล้แต่อาจจะยืนรอข้ามด่านนาน (แต่โดยรวมแล้วไปด่านนี้ไวสุด)
แต่ถ้าด่านประกอบ ไวแต่อ้อมไกลลหน่อย
BUDGET
เราไปกับเพื่อนคนนึง รวมแล้วทริปนี้เป็นสองคน
ค่าใช้จ่ายที่โชว์จะหารแล้ว เป็นเงินบาทนะจ๊ะ
• ค่าเดินทาง
ตั๋วโปร Lion Air ไปกลับหาดใหญ่ 730 บาท
ตั๋วรถตู้ KST ไปกลับ 830 บาท
ค่ารถไปกลับสนามบิน สองแถวขาไป 30 ขากลับให้รถตู้ไปส่งหารสี่คน คนละ 90 บาท
ค่ารถเมล์ในปีนัง 110 บาท
• ค่ากิน + ที่พัก + อื่นๆ
ที่พักหาดใหญ่ 225 บาท / ปีนังสามคืนรวม 870 บาท
กินที่หาดใหญ่ 365 / ปีนังกินแหลกมากกก 1700 บาท
ค่าของฝาก 500 บาท
ค่าบัตรเข้านู่นเข้านี่ + จิปาถะ 410 บาท
รวมแล้ว 5 วัน 4 คืน
หาดใหญ่ – ปีนัง ค่าใช้จ่ายตกคนละ 5,860 บาทค่ะ
อันนี้กินแหลก ช็อปแหลกถ้าประหยัดกว่านี้ ไม่บ้าซื้อโปสการ์ด แม่เหล็กติดตู้เย็นแบบเรา
ลดลงไปอีกเยอะเลย 5555555555